เรื่องของกิริยา

กลุ่มคำพูดในภาษาบาลี จะถือว่ามีเนื้อความสมบูรณ์เป็นพากย์ตอนหนึ่ง
ท่านกำหนดด้วยกิริยาคุมพากย์ตอนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้
เมื่อมีบทประธานหรือกัตตาแล้ว จึงมักมีบทกิริยา คือการกระทำของประธาน
หรือกัตตานั้นด้วย เพื่อให้รู้ว่าประธานหรือกัตตาได้แสดงการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง

กิริยามี ๒ อย่าง คือ
๑. กิริยาย่อยที่ใช้ในระหว่างประโยคใหญ่ เรียก อนุกิริยา หรือ อันตรกิริยา
๒. กิริยาที่คุมข้อความเป็นที่สุดพากย์ในวาจกทั้ง ๕ เรียก มุขยกิริยา
คือกิริยาคุมพากย์ ซึ่งกำหนดให้มีข้อความสิ้นสุดลงตอนหนึ่งๆ
ด้วยกิริยานี้อันจะกล่าวถึงข้างหน้า

อนุกิริยา หรือ อันตรกิริยา
กิริยาย่อยๆ ก่อนจะถึงกิริยาใหญ่ ซึ่งมีใช้อยู่ในประโยค มากบ้างน้อยบ้าง
ตามแต่ประธานหรือกัตตาจะแสดงการกระทำ กิริยาประเภทนี้
ใช้จำพวกที่ประกอบด้วยปัจจัยในกิริยากิตก์ อันได้แก่ ต ตวนฺตุ ตาวี
ตูน ตฺวา ตฺวาน อนฺต และ มาน ปัจจัย

วิธีเรียงกิริยาประเภทนี้มีข้อพึงกำหนด ดังนี้

๑. เรียงหลังประธาน
๒. เรียงหน้าประธาน
๓. เรียงอย่างปุริสสัพพนาม

เรียงไว้หลังประธาน
การแสดงอาการเคลื่อนไหวของประธาน
บางคราวมีหลายอย่างในข้อความตอนหนึ่งๆ
กว่าจะจบตอนหนึ่งก็มีการใช้กิริยาหลายอย่างซ้อนๆ กันหลายบท
กิริยาชนิดนี้จะมีกี่บทก็ตาม ใช้กิริยากิตก์ทั้งนั้น
การเรียงก็เรียงตามไปตามกระแสความที่ทำก่อนและหลัง

วางกิริยาประเภทนี้ ไว้หลังบทประธาน อยู่หน้ากิริยาคุมพากย์โดยส่วนมาก
ที่มีเรียงอยู่หลังบ้างก็เป็นบางครั้งเท่านั้น อย่างที่ต้องการใช้เป็น อปรกาลกิริยา
เช่น อุ. คจฺฉ ตาสํ ทตฺวา. เจ้าจงไปให้แก่หญิงเหล่านั้น

หรือที่ต้องการเป็นการทำพร้อมกับกิริยาคุมพากย์
เป็นทำนองสมานกาลกิริยา แต่ใช้ในรูปที่ประกอบด้วย มาน ปัจจัย
(อนฺต ปัจจัย ยังไม่เคยพบใช้) พึงสังเกต
อุ. ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก.......การิเต เชตวนมหาวิหาเร
วหรติ มหาชนํ สคฺคมคฺเค จ โมกฺขมคฺเค จ ปติฏฺฐาปยมาโน
และ เตน โข ปน สมเย สกฺโก เทวานมินฺโท อายสฺมโต มหากสฺสปสฺส
ปิณฺฑปาตํ ทาตุกาโม โหติ เปสการวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา ตนฺตํ วายมาโน.

เรียงไว้หน้าประธาน
อนุกิริยาที่เรียงหน้าบทประธานนั้น มีประเภทพอกำหนดได้ ดังนี้ คือ
๑. เมื่อประสงค์จะเชื่อมความที่กล่าวแล้วกับที่จะกล่าวในลำดับต่อไป
ให้เนื่องถึงกันไม่ขาดสายลง และประสงค์จะขยายความทั้งประโยค

มีอนุกิริยา ๓ อย่างคือ สุตฺวา ทิสฺวา ฐเปตฺวา
ที่เรียงไว้หน้าบทประธานนั้น มี อุ. ดังนี้
ก. ตํ สาธุ สุตฺวาตสฺส อนฺเตวาสิกา เจว สทฺธิวิหาริโน จ สตฺถารํ อุชฺฌายึสุ.
ข. อิทํ ฐานํ ทิสฺวา ตถาคโต เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิ.
ค. อิทานิสฺส มํ ฐเปตฺวา อญฺญํ ปฏิสรณํ นตฺถิ.

๒. กิริยาที่ประกอบด้วยพวก ตูนาทิ ปัจจัย ซึ่งลงในอรรถแห่งเหตุ
คือที่แปลว่า “เพราะ” อันแปลที่หลังกิริยาคุมพากย์นั้น
ก็นิยมเรียงไว้หน้าบทประธานเหมือนกัน ดัง อุ.
ก. อาจริยํ เม นิสฺสายชีวิตํ ลทฺธํ.
ข. เอตฺตกํ กตฺวาปิ อยฺยานํ ทินฺนานิ (วตฺถานิ) น นสฺสนฺติ.

๓. อนุกิริยาที่ประกอบด้วย ต อนฺต มาน ปัจจัย
บางครั้งแสดงการกระทำของบทนาม ในลักษณะเป็นวิเสสนะโดยชัดเจน
นิยมเรียงไว้หน้านามเหมือนบทวิเสสนะธรรมดา ต่อเมื่อประสงค์จะแสดงการกระทำ
หรือการเคลื่อนไหวของนามต่างๆ ในระหว่างประโยค
จึงเรียงไว้หลังนาม พึงสังเกตตัวอย่าง ดังนี้
ก. เรียงหน้าอย่างวิเสสนะ
- วฏฺฏํ ปน เขเปตฺวา ฐิโต ขีณาสโว คตทฺธา นาม.
- อากงฺขมาโน หิ ภควา หิมวนฺตํ ปพฺพตราชํ สุวณฺณนฺติ อธิมุจฺเจยฺย.
- คจฺฉนฺโต โส ภารทฺวาโช อทฺทส ทูรโต อาคจฺฉนฺตํ เถรํ.
ข. เรียงหลังอย่างอัพภันตรกิริยา
- อเถโก รตฺตจนฺทนรุกฺโข คงฺคายํ อุปริตีเร ชาโต คงฺโคทเกน
โธตมาโล ปติตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ปาสาเณสุ สมฺภญฺชมาโน วิปฺปกิริ.
- มม ปุตฺโต ปุพฺพ ปมาทกาเล สมฺมชฺชนฺโต วิจริ.

เรียงอย่างปุริสสัพพนาม
บางครั้งบทกัตตาในประโยคมิได้เจาะจงเอาใครโดยเฉพาะ
เป็นการกล่าวถึงคนทั่วๆ ไป ไม่จำกัดเพศว่าเป็นสตรีบุรุษคฤหัสถ์หรือบรรพชิต
จึงมิได้วางบทกัตตาไว้ด้วย ละไว้ในฐานะที่รู้กัน คือจะเอานามอะไร
ที่มีความหมายเป็นกลางๆ ใช้แทนครอบคลุมทั่วๆ ไป ทั้งผู้หญิงผู้ชายเด็ก
และผู้ใหญ่ก็ได้ อนุกิริยาที่วางไว้โดยไม่มีบทนามเป็นเจ้าของกำกับอยู่ด้วย
ก็ต้องใช้บทอนุกิริยานั่นเองแทน ดุจเป็นบทนาม จึงเรียกว่า “เรียงอย่างสัพพนาม
การจะใช้อนุกิริยาแทนอย่างนี้ ก็เฉพาะก็แต่ประโยคที่มีบทกัตตา
มีความหมายกว้างๆ เท่านั้น ดัง อุ.
ก. เทวทตฺตตฺเถโร กุหึ นิสินฺโน วา ฐิโต วาติ ปุจฺฉนฺโต นาม นตฺถิ.
ข. อหนฺติ วา อหนฺติ วา วทนฺโต นาม นาโหสิ.

มุขยกิริยา
มุขยกิริยานี้ ใช้แต่ที่สำเร็จมาจากกิริยาอาขยาตและกิริยากิตก์ ซึ่งคุมพากย์ได้
รวมทั้งกิริยาบทเหล่านี้คือ สกฺกา ลพฺภา อลํ เข้าด้วย

สกฺกา กับ อลํ แม้จะปรากฏว่าเป็น อกรรมธาตุ แต่ที่ท่านใช้ในข้อความ
ที่เป็นกัมมวาจกก็มี แทนที่จะใช้แต่ข้อความที่เป็นภาววาจกอย่างเดียว
ด้วยเหตุนี้พึงทราบว่า กิริยาบททั้ง ๓ นี้ ใช้ในพากย์กัมมวาจกก็ได้
พากย์ภาววาจก ก็ได้ อุ. ในพากย์ภาววาจกมีอยู่โดยทั่วไปแล้ว
จะแสดงแต่เพียงพากย์กัมมวาจก พึงสังเกตตัวอย่าง
ก. พุทฺธา จ นาม น สกฺกา สเฐน อาราเธตุํ.
ข. นวหิ ภิกฺขเว องฺเคหิ สมนฺนาคตํ กุลํ อนุปคนฺตวา จ
นาลํ อุปคนฺตุํ อุปคนฺตวา จ นาลํ นิสีทิตุํ.
ค. อิทํ (รชฺชํ) น ลพฺภา เอวํ กาตุํ.

การเรียงมุขยกิริยานี้ ในประโยคที่มีเนื้อความบอกเล่าธรรมดา
ให้เรียงไว้สุดประโยค จึงเรียกว่า กิริยาคุมพากย์ ตัวอย่างมีที่เห็น
โดยทั่วไปแล้ว แต่บางครั้งหาได้เรียงตามที่ว่านี้ไม่ เรียงไว้เสียต้นประโยคก็มี
แต่การเรียงอย่างนี้มีความประสงค์เป็นพิเศษ ซึ่งนักเรียนต้องใส่ใจ
และใช้ให้ถูกต้อง กิริยาที่นิยมเรียงไว้หน้าประโยคนั้น ก็เฉพาะในประโยค
ซึ่งมีความหมายพิเศษ ดังต่อไปนี้


จาก หนังสือคู่มือ ฝึกหัดแต่งไทยเป็นมคธ สำหรับ ป.ธ.๔-๕-๖
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(มานิต ถาวโร ป.ธ.๙) อดีตกรรมการแผนกตำรา มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์และมหาเถรสมาคม