ศัพท์ที่นิยมเรียงหน้าประธาน

ศัพท์ที่นิยมเรียงหน้าประธานนั้น นอกจากคำขยายชนิดต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น ยังมีศัพท์อื่นๆ อีกซึ่งสมควรจะจดจำไว้เป็นหลัก ศัพท์ที่จะกล่าวต่อไปนี้ไม่เกี่ยวกับประธานโดยตรง แต่ว่าเรียงไว้หน้าประธาน ทั้งนี้เพราะศัพท์เหล่านั้นทำหน้าที่ขยายข้อความทั้งประโยค ในทางสัมพันธ์กับเข้ากิริยาคุมพากย์ จึงเท่ากับอมความทั้งประโยคร่วมกับกิริยาด้วย เหตุนี้จึงนิยมเรียงไว้ต้นประโยคทีเดียว ศัพท์เหล่านั้น มีดังนี้
๑. ศัพท์กาลสัตตมี รวมทั้งนิบาตบอกกาลด้วย
๒. ศัพท์วิสยาธาร
๓. ศัพท์เหตุ
๔. นิบาตบอกอุปมาอุปไมย
๕. นิบาตบอกประการ
๖. นิบาตบอกปริจเฉท
๗. พากยางค์ต่างๆ

พึงเห็นตัวอย่างตามลำดับ ดังต่อไปนี้

๑. ศัพท์กาลสัตตมี
-ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปริสมชฺเฌ ธมฺมํ เทเสติ
(สตฺตมีวิภัตติ) ครั้งน้ัน พระศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท
-ตทา เสนาปติ รญฺโญ กปฺปกํ อาห “กทา รญฺโญ มสฺสุํ กริสฺสสิ..
(นิบาตบอกกาล) ครั้งนั้น เสนาบดีถามช่างกัลบกของพระราชาว่า
เมื่อไร ท่านจักปลงพระมัสสุของพระราชา

ถ้าในประโยคเดียวกันมีทั้ง นิบาตบอกกาล และ กาลสัตตมี
นิยมเรียงนิบาตบอกกาล ไว้ข้างหน้ากาลสัตตมี เช่น
อถ สายณฺหสมเย ภิกฺขู อิโต จิโต จ สโมสริตฺวา
รตฺตกมฺพลสาณิยา ปริกฺขิตฺวา วิย นิสีทิตฺวา สตฺถุ คุณกถํ อารภึสุ.
ครั้งนั้น ในเวลาเย็น พวกภิกษุนั่งประชุมกันตามบริเวณนั้นๆ
เหมือนกั้นด้วยม่านผ้าแดง พากันปรารภกถาสรรเสริญพระคุณของพระศาสดา

๒. ศัพท์วิสยาธาร
สาวตฺถิยํ กิร ปญฺจสตา ธมฺมิกอุปาสกา นาม อเหสุํ
ได้ยินว่า เหล่าอุบาสกผู้ประพฤติธรรมจำนวน ๕๐๐ คน ได้อยู่ประจำ ในนครสาวัตถี

ในประโยคใดมีทั้งศัพท์ วิสยาธาร และ กาลสัตตมี
นิยมเรียงกาลสัตตมี ไว้หน้าศัพท์ วิสยาธาร เช่น
ตทา สาวตฺถิยํ สตฺต มนุสฺสโกฏิโย วสนฺติ
ในคราวนั้น ในพระนครสาวัตถี มีมนุษย์อยู่ ๗ โกฏิ

๓. ศัพท์เหตุ
ศัพท์เหตุได้แก่ ยสฺมา, ตสฺมา หรือ เยน การเณน, เตน การเณน
ซึ่งแปลว่า เหตุใด เหตุนั้น มักเรียงไว้หน้าประโยค เช่น
ยสฺมา ปรสฺส อตฺตภาเว ปติฏฺฐาย กุสลํ วา กตฺวา
สคฺคปรายเนน มคฺคํ วา ภาเวตฺวา สจฺฉิกตผเลน ภวิตุํ น สกฺกา ฯ
ตสฺมา โก หิ นาม ปโร นาโถ ภเวยฺยฯ
ผู้อื่นก็ใครเล่า จะเป็นที่พึ่งได้ เพราะใครๆ ไม่อาจเพื่อจะตั้งอยู่ในอัตภาพของบุคคลอื่น
บำเพ็ญกุศลแล้วไปสวรรค์ได้ หรือเจริญมรรคแล้ว ทำให้แจ้งผลได้

ถ้าในประโยคเดียวกัน มีทั้งศัพท์กาลสัตตมีและศัพท์เหตุอยู่ด้วยกัน
นิยมเรียงศัพท์เหตุไว้ข้างหน้ากาลสัตตมี ตัวอย่าง เช่น
ตสฺมา ตํ ทิวสํ สตฺถา ตสฺส อุปนิสฺสเย โอโลเกตฺวา
ธมฺมํ เทเสนฺโต อนุปุพฺพิกถํ กเถสิ.
เพราะฉะนั้น ในวันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูอุปนิสัยของมหาบาลกุฏุมพีนั้น
เมื่อจะทรงแสดงธรรมจึงตรัสอนุบุพพิกถา.

๔. นิบาตบอก อุปมาอุปไมย
นิบาตจำพวกนี้ได้แก่ ยถา, ตถา, ยถา, เอวํ, เสยฺยถาปิ เอวํ
แปลว่า ฉันใด ฉันนั้น นิยมเรียงไว้หน้าประโยค เช่น
ยเถว ตุมฺเห ตํ ปสฺสถ, ตถาปิ โส เต ปาเณ น ปสฺสติ.
พวกเธอไม่เห็นจักขุบาลฉันใด
ถึงจักขุบาลก็ไม่เห็นสัตว์เหล่านั้น ฉันนั้น เหมือนกัน

ถ้าในประโยคเดียวกัน มีทั้งศัพท์อุปมาอุปไมย
และศัพท์เหตุ อยู่ด้วยกันต้องเรียงศัพท์เหตุไว้หน้า เช่น
ตสฺมา ยถา กณฺฏโก ผลานิ คณฺหนฺโต อตฺตฆญฺญาย ผลฺลติ
อตฺตโน ฆาตตฺถเมว ผลฺลติ. เอวํ โสปิ อตฺตโน ฆาตาย ผลฺลติ.
เพราะฉะนั้น แม้เขาก็ชื่อว่าย่อมพยายาม เพื่อล้างผลาญตนเอง
ดังไม้ไผ่เมื่อเผล็ดผล เพื่อฆ่าตัวมัน คือเผล็ดผลเพื่อฆ่าตนเอง ฉะนั้น.

๕. นิบาตบอกประการ
นิบาตบอกประการ คือ ยถา เอวํ, ยถา ตถา
ที่แปลว่า ด้วยประการใด ด้วยประการนั้น
ก็นิยมเรียงไว้หน้าประโยคเช่นเดียวกัน ตัวอย่าง เช่น
ยถา อยํ ภูริสงฺขาตา ปญฺญา ปวฑฺฒติ,
เอวํ อตฺตานํ นิเวเสยฺย.
ปัญญาคือภูรินี้ ย่อมเจริญด้วยประการใด
บุคคลพึงตั้งตนไว้ด้วยประการนั้น

ถ้านิบาตบอกประการ และศัพท์เหตุ มีอยู่ในประโยคเดียวกัน
ก็นิยมเรียงศัพท์เหตุ ไว้ข้างหน้านิบาตบอกประการ ดังตัวอย่างเช่น
ตสฺมา ยถา โส สุทนฺโต โหติ, ตถา ทเมตพฺโพ
เพราะฉะนั้น ตนนั้นจะเป็นอันตนฝึกดีแล้วด้วยประการใด
บุคคลพึงฝึกตนด้วยประการนั้น.

๖. นิบาตบอกปริจเฉท
นิบาติบอกปริจเฉทนั้นได้แก่ศัพท์ ยาว ตาว ที่แปลว่า เพียงใด เพียงนั้น
ก็นิยมเรียงไว้หน้าประโยคเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
ยาว เม ปสนฺนจิตฺตํ น ปฏิกุฏติ,
ตาวเทว ปูชํ กริสฺสามิ.
จิตอันเลื่อมใสของเรายังไม่กลับกลอก เพียงใด
เราก็จักทำการบูชาให้ได้ เพียงนั้น

.................................................................
จาก หนังสือคู่มือ ฝึกหัดแต่งไทยเป็นมคธ สำหรับ ป.ธ.๔-๕-๖
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(มานิต ถาวโร ป.ธ.๙) อดีตกรรมการแผนกตำรา มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์และมหาเถรสมาคม

วิธีเรียง สกฺกา อถ ศัพท์ กับ ต สัพพนาม  
เรื่อง น ปฏิเสธ วิธีใช้และเรียงกิริยวิเสสนะ  
วิธีใช้ มา ศัพท์