อัตตทีปสูตร

ว่าด้วยการพึ่งตนพึ่งธรรม

[ ๘๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี.
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพระภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลาย
จงเป็นผู้มีตน เป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
จงเป็นผู้มีธรรม เป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ อยู่เถิด.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย!
เมื่อเธอทั้งหลายจะมีตน เป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่

จะต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร ?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้
ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า
ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย
ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม

ย่อมตามเห็น รูปโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีรูป ๑
ย่อมเห็นรูปในตน ๑ ย่อมเห็นตนในรูป ๑
รูปนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะรูปแปรไปและเป็นอื่นไป.
ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ๑

ย่อมเห็นวิญญาณในตน ๑ ย่อมเห็นในมีวิญญาณ ๑ วิญญาณนั้นของเขาย่อมแปรไป
ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะวิญญาณแปรไปและเป็นอย่างอื่นไป .

 

[ ๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ก็เมื่อภิกษุรู้ว่ารูปไม่เที่ยง
แปรปรวนไป คลายไป ดับไปเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า

รูปในกาลก่อนและรูปทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังนี้

ย่อมละโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้
เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข

ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่า ผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ก็เมื่อภิกษุรู้ว่าเวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ
สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ
วิญญาณไม่เที่ยง แปรปรวนไปคลายไป ดับไป

เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า
วิญญาณในกาลก่อน และวิญญาณทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังนี้

ย่อมละโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้
เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ ย่อมไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข
ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่า ผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น.

จบ สูตร

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ ( ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๗
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
หน้าที่ ๔๒/ ๓๑๐ หัวข้อที่ ๘๗-๘๘