บทกลอน ความตาย

บทกลอน ชีวิต ความตาย
สตฺตานํ หิ วีวิตํ กาโล จ เทหนิกฺเขปนํ
 
คติสัตว์ทั้งหลายอันเกิดมาในโลกนี้ย่อมมีสภาวะกำหนดมิได้นั้น ๕ ประการ    
ชีวิตํ   คือชีวิตนั้นก็หากำหนดมิได้ประการ ๑    
พยาธิ    คือการป่วยไข้นั้นก็หากำหนดมิได้ประ ๑  
กาเล    เพลาอันมรณะนั้นก็หากำหนดมิได้ประการ ๑   
เทหนิกฺเขปนํ   ที่อันจะทิ้งไว้ซึ่งกเฬวระนี้ก็หากำหนดมิได้ประการ ๑
คติ ซึ่งจะไปภพเบื้องหน้านั้นก็หากำหนดมิได้ประการ ๑ เป็น ๕ ประการด้วยกัน

ระลึกถึง ความตาย สบายนัก
มันหักรัก หักหลง ในสงสาร
บรรเทามืด โมหันต์ อันธการ
ทำให้หาญ หายสะดุ้ง ไม่ยุ่งใจ

อันชีวิต คนเรา ก็เท่านี้
จนหรือมี คนเรา ก็เท่านั้น
วาสนา คนเรา ไม่เท่ากัน
อันความตาย เท่านั้น ที่เท่าเทียม

อันชีวิต คนเรา ก็เท่านี้
ตายเป็นผี ต้องลงโลง อย่าสงสัย
ถึงใหญ่โต คับฟ้า สักเพียงใด
ก็ไม่ใหญ่ ไปกว่าโลง เมื่อลงนอน

อันชีวิต..คนเรา..ก็เท่านี้
มีชีวี..แสนสั้นนัก..ยากอยู่ยั้ง
เกิดต้องตาย..สลายไป..ไม่จีรัง
ชีวิตยัง..ควรสร้างเสริม..เติมความดี.

อันคืนวัน พลันดับ ลงลับล่วง
ท่านทั้งปวง อุตส่าห์สร้าง ทางกุศล
แก่ลงแล้ว รำพึง ถึงตัวตน
อายุคน นั้นไม่ยืน ถึงหมื่นปี

ลมหายใจ...เข้าออก...บอกให้รู้
มีเกิดดับ.....สลับอยู่....ดูเปิดเผย
เกิดมาเพื่อ...สิ่งใด......ไม่รู้เลย
ล้วนลงเอย...คืนกลับ...ลับชีวิน

แค่รู้ตัว.........ทั่วพร้อม...ย่อมผ่านพ้น
กฏสากล......คือกรรม....ย้ำถวิล
เก่าต้องใช้...ใหม่อย่าสร้าง...ล้างมลทิน
อนิจจัง........ทั้งสิ้น........ อนัตตา

หากน้ำตา เป็นน้ำยา ชุบชีวิต
เชิญญาติมิตร ครวญคร่ำ รำพันหา
กี่ศพแล้ว ที่รด หยดน้ำตา
ไม่เห็นฟื้น คืนกายา ดังตั้งใจ

ธรรมดา ของสังขาร คือการดับ
ไม่มีกลับ คืนเป็น เช่นลมหวน
เป็นของจริง จงจำ อย่าคร่ำครวญ
สิ่งที่ควร เร่งทำ คือกรรมดี

อยู่ให้ดี     มีธรรม     ประจำจิต
ดีจะติด     ต่อตั้ง     เมื่อยังอยู่
ไปให้ดี     มีธรรม     เข้าค้ำชู
ดีจะอยู่     ยามพราก     เมื่อจากเอย

เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า      
เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน  
เจ้ามามือเปล่า แล้วเจ้า จะเอาอะไร ?    
เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา  
    ออกจากครรภ์ มารดา แก้ผ้าร้อง-      
อุแว้ก้อง เผชิญทุกข์ และสุขา  
เติบโตขึ้น มุ่งหาเงิน เพลินชีวา      
แท้ก็หา “ ทุกข์สารพัด” มารัดตน

เมื่อยังไม่ตาย มุ่งหมาย ว่าของข้า
เพราะตัณหา พาจิต คิดหลงไหล
แม้ตัวเรา เขายังเอา ไปเผาไฟ
มีสิ่งใด เป็นของเรา ก็เปล่าเลย
   แรกเกิดมา มีแต่หัว และตัวเปล่า
มิได้เอา เงินทอง คล้องมาด้วย
เมื่อเป็นอยู่ บากบั่น เข้าขั้นรวย
ยามมอดม้วย ก็ทิ้งไว้ ไปแต่มือ.

มีเงินทอง กองล้น พ้นภูผา
จะซื้อเอา ชีวาไว้ ก็ไร้ผล
เมื่อความตาย มีหมายทั่ว ทุกตัวคน
ติดสินบน เท่าไหร่ ชีพไม่คืน

จะหนีอื่น หมื่นแสน ในแดนโลก
พอย้ายโยก หลบลี้ หนีพ้นได้
แต่หนีหนึ่ง ซึ่งมีชื่อ คือหนีตาย
หนีไม่ได้ ใครไม่พ้น สักคนเดียว

เพราะเจ้ามาจากดิน
แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
... ดิน...ที่เจ้าจากมา...

สิ้นสุดสายสังสาร สุดสิ่งสร้างสานสืบสาย
สุดสิ้นสิ่งแส่ส่าย สิ้นสงสัยสุดสังสาร

อันอัฐิขาวโพลนที่ได้เห็น
เหมือนดั่งเป็นสิ่งเตือนสติได้
ว่าสรรพสิ่งทุกอย่างต้องจากไป
เหมือนกระดูกขาวไซร้ที่ได้มอง

มียศศักดิ์สูงส่งเป็นว่าเล่น
มีหน้าตาเป็นดั่งเช่นนิมิตหมาย
มีเงินทองร่ำรวยทาสมากมาย
มีความ" ตาย" รออยู่สุดปลายทาง

สุขอื่นใดจักยืนยงคงเที่ยงแท้
จะมีแน่นั้นหรือในสิ่งไหน
เมื่อมีสุขมักมีทุกข์ขลุกกันไป
จะไปหวังให้ได้สุขแต่ใด
   ก็ในเมื่อคนเรานี้เขลานัก
ความเหย่อหยิ่งยิ่งหนักเป็นไหนไหน
ชอบถือตัวมัวหลงตามโลกไป
แต่สุดท้ายไม่เหลือสิ่งไรให้ได้ชม
    แม้ความสุขที่ว่าแน่แน่จริงไหม
ต้องเปลี่ยนไปกลับกลายเป็นขื่นขม
มลายหายไปพลันเปรียบสายลม
ไม่เหลือเค้าให้ได้ชมอันใดเลย

จากเมื่อตายใครเล่าจะเฝ้าเห็น
จากเมื่อเป็นยังมาพบประสบศรี
มาตัวเปล่าทรัพย์สมบัติที่ไหนมี
แม้ร่างกายกายีต้องสิ้นไป
   บุญและบาปที่เราทำนำสนอง
นำเที่ยวท่องหันเหเฉลไหล
บุญให้สุขทุกข์เพราะบาปขนาบไป
กว่าจะได้มรรคผลดลนิพพาน

นาฬิกาเดินเข็มทีละนิด
บอกชีวิตจะยังอยู่ไม่ถึงไหน
บอกชีวิตว่าจะอยู่อีกไม่ไกล
บอกชีวิตให้จำไว้ให้ทำดี
    นาฬิกาเดินเข็นทีละนิด
บอกชีวิตให้ทำดีให้เป็นศรี
เพื่อสะสมผลบุญบารมี
เพื่อสู่ภพที่ดีเมื่อจากไป

จิตใจดี คิดดี คงดีนัก
พูดดี มีคนรัก มากมายเหลือ
กระทำดี ได้ดี มีเหลือเฟือ
ไม่ควรเบื่อ ทำดี ทุกที่ทาง

ไฟในใจรุมเร้าเผาดวงจิต
ไฟชีวิตรุกโชนโดนกระหน่ำ
ไฟทั้งหลายที่โหมลุกเข้าคลุกทำ
ไฟคือกรรมราคะรากจากอารมณ์

ให้ชีวิตดับลงซึ่งตรงหน้า  
ให้นภาวาดภาพกลางความฝัน
ให้ความรัก กับความสุขเท่า ๆ กัน
ให้คืนวัน ยุดยั้ง มันไม่มี
   จงมั่นทำความดี เพื่อสร้างผล
เกิดเป็นคนทำเถิดประโยชน์แสน
แม้วันหนึ่งสิ้นลม ล้มสิ้นแรง
ยังมีแสงแห่งธรรม นำทางไป
    อย่านึกว่า วันว่าง จะสร้างได้
ตายเมื่อไหร่ ไปมืดมน คงสิ้นหวัง
น้ำบ่อหน้า หายาก ลำบากพลัน
คอยกี่วัน พ้นกี่คืน มนมืดมัว
    ให้ความผิดเป็นครู นำชีวิต
หลงทำผิด พ้นไป ใครว่าชั่ว
คิดทำใหม่ เวลาไม่รอตัว
ปรับความชั่ว เป็นกรรมดี มีคู่ตน
  เวลาไป จะได้ พาหายห่วง
ไม่ล้ำล่วง เกินใคร ใจกุศล
ไปไม่ลับ ยังมีชื่อ กล่าวทั่วคน
ให้ความดี อยู่ล้น ในปฐพี

อนิจจัง สังขาร มันไม่เที่ยง
เกิดเท่าไร ตายเกลี้ยง ไม่เหลือหลอ
ถึงแม้ว่า มีเงิน เพลินพนอ
มิอาจต่อ ติดปีก หลีกความตาย

อนิจจา สังขาร ไม่เที่ยงหนอ  
มีเกิดก่อ พังยุบ บุบสลาย  
มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ครู่ดับไป  
การสลาย ดับสังขาร นั้นสุขจริง  

เรามีเกิด มีแก่ แลต้องเจ็บ
อีกหนาวเหน็บ เจ็บตาย กลายเป็นผี
บุญหนุนนำ ถ้าทำ แต่กรรมดี
บุญไม่มี ดีหลง ลงโลกันต์  

ชนทั้งหลาย กายอยู่ ดูสักหน่อย
บุญใหญ่น้อย ค่อยทำ นำกรรมเกิด
เป็นเสบียง เรียงบุญ คุณอันเลิศ
สุดประเสริฐ เกิดแสงทอง ส่องเห็นธรรม

จะร่ำรวย สวยงาม ทรามสวาท  
ฤาฉลาด ปราชญ์เปรื่อง จนเลื่องหล้า
เป็นกษัตริย์ ปกเกล้า เจ้าพารา  
สิ้นชีวา ก็ต้องร้าง ทิ้งร่างไป

โครงกระดูกร่างนี้.........ของเรา ฤานอ
จุ่งพิจารณาเอา............ถ่องแท้
ม้วยมรณ์มอดไหม้เผา....เถ้าถ่าน บ่ลา
บ่คิดหาทางแก้.............หลุดพ้นบ้างฤา.

ความเอ๋ย...ความตาย
ธาตุสลาย ภินท์พัง สิ้นสังขาร์
พลัดลูกเมีย เสียของ รักนานา
แม้กายา ที่รักยิ่ง ก็ทิ้งไป...

ตายเมื่อเป็น เหม็นมาก กว่าซากศพ
เหม็นตลบ ด้วยคำฉิน หมิ่นหยาบหยาม  
เป็นเมื่อตาย วายชีพชื่อ กลับลือนาม  
ทุกเขตคาม กล่าวขวัญ สิ้นวันลืม.

อะนิจฺจา วะตะ สังขารา
ทุกทิวา ราตรี ไม่มีเที่ยง
เหมือนอายุ พลุตะไล ไฟพะเนียง
เมื่อหมดดิน หมดเสียง ก็หมดดัง

ค่าของคน มิได้นับ เพราะทรัพย์มาก
หรือนับจาก รูปลักษณ์ สูงศักดิ์ศรี
หากเกิดจาก คุณงาม และความดี
ผลงานที่ จรรโลงให้ โลกไพบูลย์

เกิด มาเพียรก่อสร้าง ความดี.  
แก่ เฒ่ากุศลมี เสาะบ้าง.  
เจ็บ ป่วยพยาธิ มีทั่ว กันนา.  
ตาย แต่ กายชื่อยัง ชั่วฟ้า ดินสลาย.

อันสังขาร ผ่านเวลา มาแล้วเสื่อม
ใครอาจเอื้อม ฉุดรั้ง ยั้งให้สาว
ศัลยกรรม ทำไป ได้ชั่วคราว
มิยืนยาว เท่าใด ไม่เที่ยงทน

@ โอ้ว่า อนิจจา สังขารเอ๋ย
มาลงเอย สิ้นสุด หยุดเคลื่อนไหว
เมื่อหมดหวัง ครั้งสุดท้าย ไม่หายใจ
ธาตุลมไฟ น้ำดิน ก็สิ้นตาม
  นอนตัวแข็ง แลสลด เมื่อหมดชีพ
เขาตราสัง ใส่หีบ สี่คนหาม
สู่ป่าช้า สิ้นชื่อ เหลือแต่นาม
ใครจะถาม เรียกเรา ก็เปล่าดาย
  นี่แหละหนอ มนุษย์เรา มีเท่านี้
หมดลมแล้ว ก็ไม่มี ซึ่งความหมาย
วิญญาณปราศ ขาดลม ดับจากกาย
หยุดวุ่ยวาย ทุกทุกสิ่ง นอนนิ่งเลย

สังขารนั้นไม่เที่ยง

     อนิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยง     สุดจะเลี่ยงหลีกหลบไม่พบหา
เกิดมาแล้วก็ต้องตายวายชีวา     ทิ้งกายาฝังไว้ในมูลดิน
ถึงรูปหล่อน่ารักสักเพียงไหน     ที่สุดไซร้ก็เน่าเหม็นเป็นเหยื่อหนอน
ชีวิตนี้ไม่ดำรงคงถาวร     ความม้วยมรณ์เท่านั้นเป็นความจริง
     มัจจุราชนายใหญ่เอาไปแน่     เว้นแต่เร็วช้าอย่าสงสัย
วันและคืนพลันดับล่วงลับไป     เราก็ใกล้ป่าช้ามาทุกที
ถึงคราวตายมิอาจขวางทางยมฑูต     ใครจะพูดห้ามไว้มิได้ผล
ทั่วพื้นหล้าหญิงชายตายทุกคน     อย่าอิงอลมากคำเร่งทำดี
     วันเวลาคล้อยเคลื่อนเลื่อนลอยลับ     ไม่เคยกลับมาอีกเหมือนหลีกหนี
มันกลืนกินสรรพสัตว์ทั่วปฐพี     ทุกชีวีควรเตรียมพร้อมก่อนยอมตาย
โอ้สังขารไม่นานก็ราญแหลก     สลายแตกตายไปเป็นผุยผง
มีเกิดแก่แน่นักจักตายลง     เป็นมั่นคงอนิจจังไม่ยั่งยืน
     แม้จะมีโภคะมหาศาล     บริวารมากล้ำจำนวนหมื่น
อายุหดหมดสั้นทุกวันคืน     มิยั่งยืนหญิงชายทุกรายไป
แม้จะเที่ยวท่องไปในโลกหล้า     แอบเมฆฟ้าเขาเขินเนินไสล
มัจจุราชติดตามทุกยามไป     อยู่ที่ใดไม่พ้นตายอย่าหมายปอง
     เป็นเช่นนี้แต่ปฐมบรมกัปล์     เกิดแล้วดับถ้วนหน้าประชาผอง
อนิจจังสังขารวิญญาณครอง     จงเพ่งมองสัจจธรรมสำนึกตน
ได้สติครองใจไว้ฉะนี้     จะไม่มีความประมาทอาจให้ผล
อำนวยสุขแก่ประชาในสากล     ทุกทุกคนจำไว้ใส่ใจเอย.

( บทนำพิกรงานฌาปนกิจศพ)

ทุกชีวิต มีเกิด ในเบื้องต้น
แล้วก็วน เจ็บแก่ ให้แลเห็น
ในตอนกลาง ทุกอย่าง ต่างๆ เป็น
ไม่ยกเว้น ตอนท้าย ตายทุกคน

( ความดี)

ดินจะกลบ ลบกาย วายสังขาร
ไฟจะผลาญ ชีพให้ มลายสูญ
แต่ความดี ที่ทำ ได้ค้ำคูณ
ย่อมเทิดทูน แทนซาก เมื่อจากไป

( มาเปล่าไปเปล่า)

เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า
จะโลภมาก มัวเมา ไปถึงไหน
เมื่อเจ้าตาย ก็มิได้ อะไรไป
เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา

( ทรัพย์สมบัติ)

    อันทรัพย์สิน ถิ่นฐาน ทั้งบ้านช่อง
อีกเงินทอง ไร่นา มหาศาล
เป็นสมบัติ ของตัว ได้ชั่วกาล
จะต้องผ่าน จากกัน เมื่อวันตาย
   ส่วนความดี มีความสัตย์ สมบัติแท้
ถึงตัวแก่ กายดับ ไม่ลับหาย
จะสถิต ติดแน่น แทนร่างกาย
ชนทั้งหลาย สรรเสริญ เจริญพร

( ยศลาภ)

ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
เว้นก็แต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทิ้งสมบัติ ทั้งหลาย ให้ปวงชน
ร่างของตน เขายังเอา ไปเผาไฟ

( ความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร)  

อนิจจัง สังขารา ว่าไม่เที่ยง
เกิดเท่าไร ตายเกลี้ยง ไม่เหลือหลอ
ทั้งผู้ดี เข็ญใจ ตายเตียนยอ
แม้นตัวหมอ ยังต้องตาย วายชีวาต์

( หนีไม่พ้นความตาย)

อันความตาย ชายนารี หนีไม่พ้น
ถึงมีจน ก็ต้องตาย กลายเป็นผี
ถึงแสนรัก ก็ต้องร้าง ห่างทันที
ไม่วันนี้ ก็วันหน้า ช้าหรือเร็ว

( ไม่แน่นอน)

หากคนเรา ได้ทุกอย่าง ดั่งที่คิด
สิ้นชีวิต จะเอาของ กองไว้ไหน
มีได้บ้าง เสียงบ้าง ช่างปะไร
เราตั้งใจ ทำดี เท่านี้พอ

( เปรียบเทียบสัตว์กับคน)

พฤษภกาสร อีกกุญชร อันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมาย ในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์
สถิตทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ ในโลกา

( สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส : กฤษณาสอนน้องคำฉันท์)

( เปรียบเทียบสัตว์กับคน)

อันวัวควาย ตายเล่า เหลือเขาหนัง
ช้างตายยัง เหลืองา สง่าศรี
คนเราตาย เหลือไว้ แต่ชั่วดี
บรรดามี ประดับไว้ ในโลกา

* รูปัง ชีรติ มจฺจานํ นาม โคตฺตํ น ชีรติ*   ( ไทยกลาง)

อันร่างกาย ตายแล้ว ก็สูญสิ้น
ถมแผ่นดิน หมดไป ไร้ความหมาย
ส่วนชื่อเสียง ชั่วดี ไม่มีวาย
เป็นที่หมาย กล่าวขาน นิรันดร

( ความตาย   ;   หลวงตาแพรเยื่อไม้)

เมื่อตอนเช้า เคล้าชื่น ระรื่นรส
พอสายหมด ลมลับ ลงดับขันธ์
เมื่อตอนสาย ได้สนุก สุดสุขครัน
พอบ่ายพลัน ชีวาตม์ ลงขาดรอน
เมื่อตอนบ่าย รายล้อม พร้อมหน้าญาติ
พอเย็นขาด ชีวา ลงคาหมอน
เมื่อตอนเย็น เล่นสนุก ไม่ทุกข์ร้อน
พอค่ำมรณ์ ม้วยมิด อนิจจัง

** ความไม่แน่นอนของชีวิต ** โคลงโลกนิติ(ไทยกลาง)

เช้ายังแล เห็นหน้า สายตาย
สายยังอยู่ สุขสบาย บ่ายม้วย
บ่ายยัง รื่นเริงกาย เย็นดับชีพนา
เย็นยัง หยอกลูกด้วย ค่ำม้วยอาสัญ

( อะไร ที่ไหน   ;   ท่านพุทธทาส)

อันความงาม   มีอยู่ตาม   หมู่ซากผี
อันความดี   อยู่ที่ละ   สละยิ่ง
ความเป็นพระ   อยู่ที่เพียร     บวชเรียนจริง
นิพพาน   ดิ่ง     อยู่ที่ตาย   ก่อนตาย   เอยฯ

( ความตาย ; ninjahatori   ภูเก็ต)

ความตาย....ไม่.....มีแบ่ง...........แยกเรื่องเพศ
ความตาย....ไม่.....มีขอบเขต.....เรื่องศาสนา
ความตาย....ไม่.....จำกัด...........วันเวลา
ความตาย....ไม่.....นำพา...........เรื่องของวัย
ความตาย....ไม่.....กำหนด.........เรื่องชนชั้น
ความตาย....ไม่.....สำคัญ...........ตายที่ไหน
ความตาย....ไม่.....มีแบบอย่าง....ตายอย่างไร
ความตาย....ไซร้...เท่านั้น..........นิรันดร

จำต้องพราก

เมื่อถึงคราวม้วยใครก็ช่วยไม่ได้                  ต่อให้เหาะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์
ก็จำต้องพรากจากวิมาน                            เพราะยมบาลท่านไม่รับสินบน
ถึงคราวตายแน่ยาแก้ไม่มี                          ตายแน่เราหนีมันไปไม่พ้น
จะเป็นราชาหรือมหาโจร                            ต้องทิ้งกายสกนธ์อยู่บนเชิงตะกอน

ไปมือเปล่า

ยามเจ้าเกิด     มีสิ่งใด     ติดกายบ้าง
เห็นแต่ร่าง     เปลือยเปล่า   ไม่เอาไหน
สร้างสมบัติ   พัสถาน     บานตะไท
ถึงคราวไป   ก็ไปเปล่า   เหมือนเจ้ามา

มีสิ่งใด     ไปกับเจ้า     ก็เปล่าสิ้น
ผ้าสักชิ้น     เงินสักเก๊     หรือเคหา
สามีบุตร     สุดที่รัก     ภรรยา
ไม่เห็นว่า     จะตามไป     หรือใครมี

เห็นแต่ธรรม   คำสอน     ขององค์พระ
ที่พอจะ     ตามไป     ในเมืองผี
เพราะฉะนั้น   พึงหมั่นทำ     แต่ความดี
เพื่อเป็นที่     พึ่งเจ้า     เมื่อคราวตาย

เปลวเทียน ละลายแท่ง เพื่อเปล่งแสง อันอำไพ      
ชีวิตมลายไป เหลือสิ่งใด ทิ้งไว้แทน   

ชีวิต ไร้สาระ ขณะนี้ ยังไม่สาย เกินที่ จะแก้ไข      
แม้ชีวิต เหลือน้อยลง เพียงใด ควรภูมิใจ ที่ได้ ทำความดีทัน  

มีคนเห็นหรือไม่ เป็นไรเล่า ควรเลือกเอา ความดี ที่สร้างสรรค์      
ใครจะเห็น หรือไม่..ไม่สำคัญ ตัวเรานั้น รู้ว่าดี เท่านี้พอ..   

คำที่ว่า นั่นหรือ คือ "ความตาย"
ทุกหญิงชาย ต้องล่วงลับ ดับเป็นผี
ไม่อาจพ้น ความตาย วายชีวี
ทางที่ดี ควรคิด พิจารณา

" หมั่นนึกถึง ความตาย ไว้เนืองเนือง"
นับเป็นเรื่อง เตือนใจ ในศาสนา
อย่าประมาท ปล่อยผ่าน กาลเวลา
" มรณาสติ"ตรึก รำลึกพลัน

เมื่อความจริง สิ่งนี้ หนีไม่พ้น
เราทุกคน ควรเตรียมใจ อย่าไหวหวั่น
โดยพร้อมที่ จะตาย ได้ทุกวัน
ทำดีกัน ให้มาก ก่อนจากไป

ปริศนาธรรม “สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป”

สี่คนหาม ตามตำนาน ท่านกล่าวย้ำ
คือดินน้ำ ลมไฟ ในธาตุขันธ์
ประกอบเป็น ตัวตน แตกต่างกัน
ต่างเผ่าพันธุ์ เพราะกรรม ที่ทำมา

สามคนแห่ นั้นไซร้ คือไตรลักษณ์
ใกล้ตัวนัก แต่เหมือนไกล ไม่ศึกษา
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
มิอาจพา หลุดพ้น วังวนมาร

อีกหนึ่งคน นั่งแคร่ นั้นแน่นัก
จิตหลงรัก ว่าเป็นเรา น่าสงสาร
เมื่อเกิดขึ้น ก็คงอยู่ ได้ไม่นาน
ย่อมถึงกาล ดับไป แต่ไรมา

ยามมอดม้วย ชีวา ต้องลาจาก
มีเพื่อนยาก สองคน ตามไปหา
คือบุญบาป เท่านั้น ติดตามมา
บุญรักษา บาปชดใช้ ไปตามกรรม

ปริศนา ธรรมนี้ไซร้ สอนให้คิด
เพื่อเตือนจิต ตนไว้ ไม่ถลำ
มีสติ ระลึกได้ ใส่ใจจำ
ถึงพระธรรม คำสอน พระศาสดา

สรุปให้เข้าใจสั้น ๆ ก็คือ
1. สี่คนหาม คือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม
2. สามคนแห่ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
3. หนึ่งคนนั่งแคร่ คือ จิต
4. สองคนพาไป คือ บุญ-บาป

เมื่อยังอยู่  วุ่นวาย  ไม่รู้จบ
ตอนเป็นศพ  ม้วยมรณ์  นอนแน่นิ่ง
วัฏสงสาร  เห็นชัด  ล้วนสัตย์จริง
สรรพสิ่ง  อนิจจัง  มิยั่งยืน
    ทรัพย์สมบัติ  หมุนเวียน  เปลี่ยนเจ้าของ
สังขารต้อง  พรากพรัด  สุดขัดขืน
เกิดแล้วดับ  ลาลับ  ไม่กลับคืน
จงเร่งตื่น  จากโมหันธ์  ทัณฑ์โลกีย์
    สร้างกุศล  ผลบุญ  ตุนไว้เถิด
แม้กำเนิด  กี่ภพ  คงสบศรี
สุขเพียบพร้อม  สมบูรณ์  พูนทวี
เพราะกรรมดี  ค้ำจุน  เป็นทุนรอน
    คนหลงผิด  คิดชั่ว  เกลือกกลั้วบาป
เคลิ้มซึมซาบ  งมงาย  ในสิ่งหลอน
เลือกฝักใฝ่  อธรรม  กลัมพร
ย่อมทุกข์ร้อน  ตกต่ำ  ยามกรรมทัน
    จะทำดี  ทำชั่ว  เข้าตัวหมด
ข้อกำหนด  กฎแห่งกรรม  ธรรมขันธ์
ความชั่วคือ  ประตู  สู่โลกันตร์
ส่วนสวรรค์  สรรค์ไว้  ให้คนดี

ยามเยาว์เห็นโลกล้วน แสนสนุก
เมื่อหนุ่มก็หลงสุข ค่ำเช้า
กลางคนเริ่มเห็นทุกข์ มีคู่ สุขแฮ
ตกแก่จึงรู้เค้า ว่าล้วนอนิจจัง

จากไปแล้ว ไปลับ ไม่กลับคืน  
หลับไม่ตื่น ฟื้นฝัน มาสรรค์โลก
ทั้งสุขเศร้า ด่าวดิ้น สิ้นแล้วโศก
อุปโลกน์ สุดท้าย ปลายเวรกรรม
    ไม่อาจนำ สิ่งใด ไปกับร่าง
ต้องละวาง ว่างเวร เลิกเร้นร่ำ
ไปไม่กลับ ลับชาติ นิบาตธรรม
ร่างเขานำ ไปเผา เถ้าธุลี

ถ้าดูศพ ให้เป็น จักเห็นศพ
จิตสงบ ศพคือธรรม นำสัจจะ
ศพสอนให้ เรารู้ ลดเลิกละ
ความมานะ ถือตัว มั่วอบาย...
    อนาคต เราก็เป็น เช่นอย่างนี้
ไม่คงที่ เคลื่อนคล้อย คอยสูญหาย
ทำความดี มีศีลศักดิ์ ก่อนมลาย
ถึงวางวาย ไม่เสียดาย ได้เป็นคน...

บทสวดยอดมุข คำทอดผ้าหน้าศพ คำภาวนาเวลาไปเยี่ยมศพ คำถวายผ้าไตรอุทิศแก่ผู้ตาย
กลอนชีวิต-ความตาย อภิณหปัจจเวกขณปาฐะ บทพิจารณาสังขาร บทปลงสังขาร
เสียงอ่านธรรมะ