|   ความหมายการทำวัตร หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า ทำวัตร คือการทำกิจที่ต้องทำจนเป็นกิจวัตรประจำวัน
 ซึ่งเป็นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกาทั่วไป จะละเว้นเสียเป็นการไม่สมควร เพราะเป็นหน้าที่
 โดยตรงของผู้มุ่งแสวงบุญอย่างหนึ่ง การทำวัตรนิยมทำกันวันละ ๒ เวลา คือเช้ากับเย็น เรียกว่า ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น
 กิจที่ต้องทำในเวลาทำวัตรทั้งสองเวลานั้นคือ สวดบูชาพระรัตนตรัย สวดพิจารณาปัจจัยที่บริโภคทุกวัน
 สวดเจริญกรรมฐานตามควร สวดอนุโมทนาทานของทายก และสวดแผ่ส่วนกุศล (กรวดน้ำ) ซึ่งคำสวดเหล่านี้มี
 แบบสากลใช้ทั่วไป จะมีต่างกันบ้างในบางแห่งก็เฉพาะบางบทที่ตัดออกหรือเพิ่มเติมเข้ามาตามความนิยมใน
 ถิ่นนั้น ๆ เท่านั้น
 
 การสวดมนต์ คือ การสวดสาธยายบทพระพุทธมนต์ต่าง ๆ ที่เป็นพระสูตรก็มี เป็นพระปริตรก็มี เป็นคาถา
 นิยมที่กำหนดขึ้นเพื่อให้นำมาสวดประกอบในการสวดมนต์เป็นประจำก็มี การสวดมนต์นี้นิยมสวดต่อท้ายทำวัตร
 จะสวดมากหรือน้อย และสวดบทไหนบ้าง แล้วแต่วัดนั้นๆจะกำหนดกันขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงมักเรียกรวมกันไปว่า
 " ทำวัตรสวดมนต์"
 
 ความมุ่งหมาย
 ในสมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ พระภิกษุสงฆ์จักพากันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในตอนหัวค่ำของทุกๆ
 วันเป็นนิตย์ ในโอกาสนั้นนอกจากจะได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว ยังได้ฟังโอวาท ฟังอนุสาสนี และระเบียบวินัยที่ทรง
 บัญญัติขึ้นใหม่ด้วย การเข้าเฝ้านี้ถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันของพระภิกษุ และแม้อุบาสกอุบาสิกาก็เข้าเฝ้าแบบนี้
 เหมือนกัน แต่เป็นเวลาบ่ายถึงเย็น
 
 พระพุทธองค์ก็ทรงถือว่าการให้พระภิกษุสามเณร ทายกทายิกาเข้าเฝ้าในเวลานั้น ๆ เป็นกิจวัตรประจำวัน
 จึงไม่เสด็จไปไหนในเวลานั้น ต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว มีประเพณีสร้างพระพุทธรูปขึ้นเป็นเครื่อง
 หมายเคารพสักการะแทนพระพุทธเจ้า และประดิษฐานไว้ ณ สถานที่สำคัญ ๆ ของวัด เช่น ในโรงอุโบสถ วิหาร
 ศาลาการเปรียญ เป็นต้น
 สถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปจัดเป็นเอกเทศ โอ่โถง และสะอาดสวยงาม เพราะถือกันว่าเป็นที่ประทับ
 
 ของพระพุทธเจ้า ชาวพุทธจึงนิยมเข้าไปยังสถานที่นั้น ๆ โดยปฏิบัติเหมือนว่าได้เข้าเฝ้าองค์พระพุทธเจ้าทุกเช้า-
 เย็น และพากันสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ซึ่งเรียกว่า ทำวัตร และสวดพระสูตรพระปริตรต่าง ๆ ซึ่งเป็นพระ
 พุทธพจน์ เป็นพระโอวาทเรียกว่า สวดมนต์ เท่ากับได้ฟังพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทุกเช้าเย็น การกระทำเช่นนี้
 นิยมแพร่หลายขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นระเบียบพิธีขึ้นจนทุกวันนี้
 
 การทำวัตรสวดมนต์
 นอกจากมุ่งหมายเพื่อให้ชาวพุทธได้เข้าเฝ้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนเมื่อครั้งพุทธกาลแล้ว
 ยังเพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้บำเพ็ญพระกรรมฐานอันเป็นอุบายให้จิตเป็นสมาธิมีความสงบ ไม่ฟุ้งซ่านวุ่นวายในขณะนั้น แม้จะชั่วระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ก็จะมีผลทำให้จิตใจได้พักผ่อนจากอารมณ์ภายนอก ทำให้เกิด
 ความเยือกเย็นเย็นสุขุมขึ้น เหมือนเครื่องยนต์ที่ถูกใช้งานหนักมาแล้วได้ถูกพักบ้างแม้ไม่นานก็ตาม ก็ทำให้เครื่อง
 ยนต์นั้นเย็นลงมีกำลังดีขึ้น ฉะนั้น
 นอกจากนั้น การทำวัตรสวดมนต์ยังเป็นโอกาสให้พระภิกษุสามเณรได้สวดพิจารณาปัจจัย ได้สวด
 
 อนุโมทนาทานของทายก ได้สวดแผ่ส่วนกุศลหรือกรวดน้ำให้ผู้อื่นด้วยจิตบริสุทธิ์อีกด้วย เพราะมีความมุ่งหมาย ดังนี้ บัณฑิตทั้งหลายจึงกำหนดการทำวัตรสวดมนต์ขึ้นไว้เป็นหน้าที่ของชาวพุทธอย่างหนึ่ง ที่ไม่ควรละเว้น หรือหลบหลีก
 เสีย ด้วยมองข้ามว่า "เป็นกิจไม่สำคัญอะไร" เพราะเป็นอุบายทำความดีอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "ภาวนามัย"
 
 ประโยชน์ของการทำวัตรสวดมนต์
 ดังกล่าวมาแล้วว่า การทำวัตรสวดมนต์เป็นอุบายทำความดีซึ่งเป็นบุญอย่างหนึ่ง ฉะนั้น
 เมื่อทำจนเป็นนิสัยประจำวันแล้ว ย่อมได้รับผลอานิสงส์หลายประการ เช่น
 
 ๑. ทำให้ได้รับความชื่นใจสบายใจ ทำให้เกิดพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เหมือนได้เข้าเฝ้าองค์พระ-
 สัมมาสัมพุทธเจ้าต่อพระพักตร์ทุกวัน
 
 ๒. ได้ชื่อว่าบำเพ็ญพระกรรมฐาน อบรมจิตใจให้เป็นสมาธิ มีความแน่วแน่ สงบเย็น ไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้จิตใจ
 มีอำนาจมีพลัง สามารถควบคุมอารมณ์ข่มกิเลส และควบคุมตัวเองได้ดี
 
 ๓. ได้เปลื้องมลทินอันเกิดจากการบริโภคปัจจัยของทายกโดยมิได้พิจารณาในวันนั้น เท่ากับได้เปลื้องหนี้
 ให้ตัวเอง จัดเป็นผลทางพระวินัย
 
 ๔. ได้มีโอกาสแผ่ส่วนบุญกุศลให้แก่ผู้อื่น จัดว่าได้ทำบุญข้อว่า ปัตติทานมัย
 
 ๕. ได้รับความนับถือและยกย่องจากพระภิกษุสามเณรด้วยกันและทายกทายิกาทั่วไปว่าเป็นพุทธศาสนิกชน
 ที่ดี ไม่ละเว้นหน้าที่ที่จะต้องทำ รักษาระเบียบประเพณีไว้ได้ เป็นการสร้างแบบอย่างที่ดีไว้แก่อนุชนรุ่นหลัง
 
 ๖. ทำให้เป็นผู้อาจหาญในหมู่ ไม่ติดขัดเก้อเขินในเวลาทำพิธี เพราะเป็นผู้แคล่วคล่องในมนต์ต่าง ๆ
 
 แบบพิธีทำวัตรสวดมนต์
 การทำวัตรสวดมนต์นี้มีแบบอย่างโดยเฉพาะ คือ แบบทำวัตรสวดมนต์สำหรับพระภิกษุสามเณร
 แบบทำวัตรสวดมนต์สำหรับอุบาสกอุบาสิกา และแบบทำวัตรสวดมนต์สำหรับนักเรียน เป็นต้น ซึ่งแต่ละแบบนั้นมี
 เหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง มากน้อยตามความนิยม ส่วนมากก็มีเป็นหนังสือเฉพาะแบบแล้ว จึงจะไม่นำมา
 กล่าวในที่นี้อีก ผู้สนใจพึงแสวงหาไว้เป็นสมบัติส่วนตัวเพื่อปฏิบัติเองเถิด.
 
 
 ขอบคุณที่มา http://www.dhammajak.net/dhammabox-2/10.html
 |