|   บทสวด สาธยาย มหาสติปัฏฐาน ๔ แปล 
    บทสวด มหาสติปัฏฐาน ๔ หรือ มหาสติปัฏฐานสูตร
  (หันทะ มะยัง มะหาสะติปัฏฐานะธัมมะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)  เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค- ภิกษุทั้งหลาย! หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
  สัตตานัง วิสุทธิยา- เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย
  โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ- เพื่อล่วงซึ่งความโศกและปริเทวะ
  ทุกขะโทมะนัสสานัง อัฏฐังคะมายะ- เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
  ญายัสสะ อะธิคะมายะ- เพื่อการบรรลุธรรมที่ถูกต้อง
  นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ- เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
  ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา- หนทางนี้ คือสติปัฏฐาน ๔
  กะตะมา จัตตาโร- สติปัฏฐาน ๔ คืออะไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
  อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา- มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
  วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง- นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
  เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
  อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา- มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
  วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง- นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
  จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่
  อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา- มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
  วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง- นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
  ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา- มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
  วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง- นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
 
  
  กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑.อานาปานะปัพพะ (กำหนดรู้ลมหายใจ)
  (หันทะ มะยัง อานาปานะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)  กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  อะรัญญะคะโต วา รุกขะมูละคะโต วา สุญญาคาระโต วา- ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี
  นิสีทะติ ปัลลังกัง อาภุชิต๎วา- นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ
  อุชุกายัง ปะณิธายะ ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปต๎วา - ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
  โสสะโต วา อัสสะสะติสะโตปัสสะสะติ- เธอมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
  ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
  ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
  รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
  รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
  สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า
  สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก
  ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจเข้า
  ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจออก
  เสยยะถาปิ ภิกขะเว ทักโข ภะมะกาโร วา ภะมะการันเตวาสี วา- ภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนนายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน
  ทีฆัง วา อัญฉันโต ทีฆัง อัญฉามีติ ปะชานาติ- เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงยาว
  รัสสัง วา อัญฉันโต รัสสัง อัญฉามีติ ปะชานาติ- เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น
  เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน
  ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
  ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
  รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
  รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
  สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า
  สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก
  ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจเข้า
  ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจออก
  อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
   
  ๒.อิริยาปะถะปัพพะ (กำหนดรู้อิริยาบถใหญ่)  (หันทะ มะยัง อิริยาปะถะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)  ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  คัจฉันโต วา คัจฉามีติ ปะชานาติ- ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่า เราเดินอยู่
  ฐิโต วา ฐิโตมหีติ ปะชานาติ- เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า เรายืนอยู่
  นิสินโน วา นิสินโนมหีติ ปะชานาติ- เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า เรานั่งอยู่
  สะยาโน วา สะยาโนมหีติ ปะชานาติ- เมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอนอยู่
  ยะถา ยะถา วา ปะนัสสะกาโย ปะณิหิโต โหติ- เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ
  ตะถา ตะถา นัมปะชานาติ- ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ
  อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
 
  
  ๓.สัมปะชัญญะปัพพะ  (กำหนดรู้อิริยาบถย่อย)  (หันทะ มะยัง สัมปะชัญญะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)  ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  อะภิกกันเต ปะฏิกกันเต สัมปะชานะการี โหติ- ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัว ในการก้าวไป ถอยกลับ
  อาโลกิเต วิโลกิเต สัมปะชานะการี โหติ- ทำความรู้สึกตัว ในการแลดู การเหลียว
  สัมมิญชิเต ปะสาริเต สัมปะชานะการี โหติ- ทำความรู้สึกตัว ในการคู้เข้า เหยียดออก
  สังฆาฏิปัตตะจีวะระธาระเณ สัมปะชานะการี โหติ- ทำความรู้สึกตัว ในการทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร
  อะสิเต ปิเต ขายิเต สายิเต สัมปะชานะการี โหติ- ทำความรู้สึกตัว ในการกิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มรส
  อุจจาระปัสสาวะกัมเม สัมปะชานะการี โหติ- ทำความรู้สึกตัว ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
  คะเต ฐิเต นิสินเน สุตเต ชาคะริเต ภาสิเต ตุณ๎หีภาเว สัมปะชานะการี โหติ- ทำความรู้สึกตัว ในการก้าวไป หยุดอยู่ นั่งอยู่ การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง
  อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
 
   ๔.ปะฏิกูละมะนะสิการะปัพพะ (กำหนดรู้ปฏิกูลในกาย ๓๑ อย่าง)
  (หันทะ มะยัง ปะฏิกูละมะนะสิการะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)   ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง   อิมะเมวะ กายัง - ภิกษุพิจารณาเห็นกายนี้แล  อุทธัง ปาทะตะลา - เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา  อะโธ เกสะมัตถะกา - เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป  ตะจะปะริยันตัง - มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ   ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ - เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ  อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย - มีอยู่ในกายนี้   เกสา - คือผมทั้งหลาย  โลมา - คือขนทั้งหลาย   นะขา - คือเล็บทั้งหลาย ทันตา - คือฟันทั้งหลาย  ตะโจ - หนัง  มังสัง - เนื้อ   นะหารู - เอ็นทั้งหลาย  อัฏฐี - กระดูกทั้งหลาย   อัฏฐิมิญชัง - เยื่อในกระดูก วักกัง - ม้าม   หะทะยัง - หัวใจ ยะกะนัง  - ตับ   กิโลมะกัง - พังผืด ปิหะกัง  - ไต   ปัปผาสัง - ปอด  อันตัง - ไส้ใหญ่   อันตะคุณัง  - ไส้น้อย อุทะริยัง - อาหารใหม่  กะรีสัง - อาหารเก่า  ปิตตัง - น้ำดี   เสมหัง - น้ำเสลด  ปุพโพ - น้ำหนอง   โลหิตัง - น้ำเลือด เสโท - น้ำเหงื่อ   เมโท - น้ำมันข้น  อัสสุ - น้ำตา   วะสา - น้ำมันเหลว เขโฬ - น้ำลาย  สิงฆาณิกา - น้ำมูก ละสิกา - น้ำมันไขข้อ  มุตตันติ - น้ำมูตรดังนี้   เสยยะถาปิ ภิกขะเว อุภะโต มุขา มูโตฬี- ภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนไถ้ มีปากสองข้าง
  ปูรานานาวิหิตัสสะ ธัญญัสสะ เสยยะถีทัง- เต็มด้วยธัญญชาติต่างชนิด คือ
  สาลีนัง วีหีนัง มุคคานัง- ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว
  มาสานัง ติลานัง ตัณฑุลานัง- ถั่วเหลือง งา ข้าวสาร
  ตะเมนัง จักขุมา ปุริโส มุญจิต๎วา ปัจจะเวกเขยยะ- บุรุษผู้มีตาดี แก้ไถ้นั้นแล้ว พึงเห็นได้ว่า
  อิเม สาลี อิเม วีหี อิเม มุคคา - นี้ข้าวสาลี นี้ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว
  อิเม มาสา อิเม ติลา อิเม ตัณฑุลาติ- นี้ถั่วเหลือง นี้งา นี้ข้าวสาร
  เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ฉันใดก็ฉันนั้น
  อิมะเมวะ กายัง- ภิกษุพิจารณาเห็นกายนี้แล
  อุทธัง ปาทะตะลา- เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
  อะโธ เกสะมัตถะกา- เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
  ตะจะปะริยันตัง- มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
  ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ- เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ
  อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย- มีอยู่ในกายนี้
  เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ- ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
  มังสัง นะหารู อัฏฐี อัฏฐิมิญชัง วักกัง- เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม
  หะทะยัง ยะกะนัง กิโลมะกัง ปิหะกัง ปัปผาสัง- หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด
  อันตัง อันตะคุณัง อุทะริยัง กะรีสัง- ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า
  ปิตตัง เสมหัง ปุพโพ โลหิตัง เสโท เมโท- น้ำดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น
  อัสสุ วะสา เขโฬ สิงฆาณิกา ละสิกา มุตตันติ- น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตรดังนี้
  อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
 
  ๕.ธาตุมะนะสิการะปัพพะ (กำหนดรู้ธาตุ ๔ อย่าง)
  (หันทะ มะยัง ธาตุมะนะสิการะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)  ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  อิมะเมวะ กายัง ยะถาฐิตัง ยะถาปะณิหิตัง- ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แล อันตั้งอยู่ ดำรงอยู่ตามปกติ
  ธาตุโส ปัจจะเวกขะติ- โดยความเป็นธาตุว่า
  อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย- ในร่างกายนี้มี
  ปะฐะวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตูติ - ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมดังนี้
  เสยยะถาปิ ภิกขะเว ทักโข โคฆาตะโก วา - ภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนคนฆ่าโค
  โคฆาตะกันเตวาสี วา คาวิง วะธิต๎วา - หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ขยัน ฆ่าแม่โคแล้ว
  จาตุมมะหาปะเถ วิละโส ปะฏิวิภะชิต๎วา นิสินโน อัสสะ- แบ่งออกเป็นส่วนๆ นั่งอยู่ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง
  เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ฉันใด ก็ฉันนั้น
  อิมะเมวะ กายัง ยะถาฐิตัง ยะถาปะณิหิตัง ธาตุโส ปัจจะเวกขะติ- ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แล อันตั้งอยู่ ดำรงอยู่ตามปกติ โดยความเป็นธาตุว่า
  อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย- ในร่างกายนี้มี
  ปะฐะวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตูติ- ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมดังนี้
  อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
 
  ๖.นะวะสีวถิกาปัพพะ (กำหนดรู้ซากศพทั้ง ๙)
  (หันทะ มะยัง นะวะสีวะถิกาปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)   © ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
  เอกาหะมะตัง วา ทะวีหะมะตัง วา ตีหะมะตัง วา- ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง
  อุทธุมาตะกัง วินีละกัง วิปุพพะกะชาตัง- ที่ขึ้นพองมีสีเขียว มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้....ฯลฯ
  © ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
  กาเกหิ วา ขัชชะมานัง คิชเฌหิ วา ขัชชะมานัง- อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง อันฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง
  กุละเลหิ วา ขัชชะมานัง สุวาเณหิ วา ขัชชะมานัง- อันฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง อันหมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง
  สิงคาเลหิ วา ขัชชะมานัง วิวิเธหิ วา ปาณะกะชาเตหิ ขัชชะมานัง- อันหมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง อันหมู่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยกัดกินอยู่บ้าง
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้......ฯลฯ
  © ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
  อัฏฐิสังขะลิกัง สะมังสะโลหิตัง นะหารุสัมพันธัง- เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.....ฯลฯ
  © ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
  อัฏฐิสังขะลิกัง นิมมังสะโลหิตะมักขิตัง นะหารุสัมพันธัง- เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อแต่ยังเปื้อนเลือดอยู่ ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.....ฯลฯ
  © ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
  อัฏฐิสังขะลิกัง อะปะคะตะมังสะโลหิตัง นะหารุสัมพันธัง- เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้....ฯลฯ
  © ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
  อัฏฐิกานิ อะปะคะตะนะหารุสัมพันธานิ- เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว
  ทิสาวิทิสา วิกขิตตานิ- เรี่ยรายไปในทิศน้อยทิศใหญ่คือ
  อัญเญนะ หัตถัฏฐิกัง อัญเญนะ ปาทัฏฐิกัง- กระดูกมือไปทาง กระดูกเท้าไปทาง
  อัญเญนะ ชังฆัฏฐิกัง อัญเญนะ อูรัฏฐิกัง- กระดูกแข้งไปทาง กระดูกขาไปทาง
  อัญเญนะ กะกิฏฐิกัง อัญเญนะ ปิฏฐิกัณฏะกัฏฐิกัง- กระดูกสะเอวไปทาง กระดูกสันหลังไปทาง
  อัญเญนะ ผาสุกัฏฐิกัง อัญเญนะ อุรัฏฐิกัง- กระดูกซี่โครงไปทาง กระดูกหน้าอกไปทาง
  อัญเญนะ พาหุฏฐิกัง อัญเญนะ อังสัฏฐิกัง- กระดูกแขนไปทาง กระดูกไหล่ไปทาง
  อัญเญนะ คีวัฏฐิกัง อัญเญนะ หะนุฏฐิกัง- กระดูกคอไปทาง กระดูกคางไปทาง
  อัญเญนะ ทันตัฏฐิกัง อัญเญนะ สีสะกะฏาหัง- กระดูกฟันไปทาง กะโหลกศรีษะไปทาง
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.....ฯลฯ
  © ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
  อัฏฐิกานิ เสตานิ สังขะวัณณุปะนิกานิ- เป็นกระดูก มีสีขาวเปรียบด้วยสีสังข์
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.....ฯลฯ
 
 © ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
 - ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
  อัฏฐิกานิ ปุญชะกิตานิ เตโรวัสสิกานิ- เป็นกระดูก กองเรี่ยรายอยู่ นานเกินปีหนึ่งขึ้นไป
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.....ฯลฯ
  © ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
  อัฏฐิกานิ ปูตีนิ จุณณะกะชาตานิ- เป็นกระดูก ผุเป็นจุณแล้ว
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้
  อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
 
  เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (เห็นเวทนาโดยลักษณะ ๙ อย่าง)
  (หันทะ มะยัง เวทะนานุปัสสะนาปาฐัง ภะณามะ เสฯ)   กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  © สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นสุขอยู่
  สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นสุขอยู่
  © ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์อยู่
  ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์อยู่
  © อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน- เมื่อเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขอยู่
  อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขอยู่
  © สามิสัง วา สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นสุข มีอามิสอยู่
  สามิสัง สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นสุข มีอามิสอยู่
  © นิรามิสัง วา สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นสุข ไม่มีอามิสอยู่
  นิรามิสัง สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นสุข ไม่มีอามิสอยู่
  © สามิสัง วา ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ มีอามิสอยู่
  สามิสัง ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ มีอามิสอยู่
  © นิรามิสัง วา ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ ไม่มีอามิสอยู่
  นิรามิสัง ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ ไม่มีอามิสอยู่
  © สามิสัง วา อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน- เมื่อเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข มีอามิสอยู่
  สามิสัง อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข มีอามิสอยู่
  © นิรามิสัง วา อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน- เมื่อเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ไม่มีอามิสอยู่
  นิรามิสัง อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ไม่มีอามิสอยู่
   อิติ อัชฌัตตัง วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในเวทนาบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในเวทนาบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในเวทนาบ้าง
  อัตถิ เวทะนาติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัง โข ภิกขะเว ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
 
  จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (เห็นจิตโดยลักษณะ ๑๖ อย่าง)
  (หันทะ มะยัง จิตตานุปัสสะนาปาฐัง ภะณามะ เสฯ)   กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  สะราคัง วา จิตตัง สะราคัง จิตตันติ ปะชานาติ- จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ
  วีคะราคัง วา จิตตัง วีตะราคัง จิตตันติ ปะชานาติ- หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากราคะ
  สะโทสัง วา จิตตัง สะโทสัง จิตตันติ ปะชานาติ- จิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโทสะ
  วีตะโทสัง วา จิตตัง วีตะโทสัง จิตตันติ ปะชานาติ- หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากโทสะ
  สะโมหัง วา จิตตัง สะโมหัง จิตตันติ ปะชานาติ- จิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโมหะ
  วีตะโมหัง วา จิตตัง วีตะโมหัง จิตตันติ ปะชานาติ- หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากโมหะ
  สังขิตตัง วา จิตตัง สังขิตตัง จิตตันติ ปะชานาติ- จิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่า จิตหดหู่
  วิกขิตตัง วา จิตตัง วิกขิตตัง จิตตันติ ปะชานาติ- หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน
  มะหัคคะตัง วา จิตตัง มะหัคคะตัง จิตตันติ ปะชานาติ- จิตเป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นมหรคต ( จิตที่เข้าถึงความเป็นใหญ่ )
  อะมะหัคคะตัง วา จิตตัง อะมะหัคคะตัง จิตตันติ ปะชานาติ- หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นมหรคต
  สะอุตตะรัง วา จิตตัง สะอุตตะรัง จิตตันติ ปะชานาติ- จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ชัดว่า จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า
  อะนุตตะรัง วา จิตตัง อะนุตตะรัง จิตตันติ ปะชานาติ- หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
  สะมาหิตัง วา จิตตัง สะมาหิตัง จิตตันติ ปะชานาติ- จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นสมาธิ
  อะสะมาหิตัง วา จิตตัง อะสะมาหิตัง จิตตันติ ปะชานาติ- หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นสมาธิ
  วิมุตตัง วา จิตตัง วิมุตตัง จิตตันติ ปะชานาติ- จิตหลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตหลุดพ้น
  อะวิมุตตัง วา จิตตัง อะวิมุตตัง จิตตันติ ปะชานาติ- หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่หลุดพ้น
  อิติ อัชฌัตตัง วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิต ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นจิตในจิต ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นจิตในจิต ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในจิตบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในจิตบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในจิตบ้าง
  อัตถิ จิตตันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัง โข ภิกขะเว ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่
 
  ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (เห็นธรรมโดยลักษณะ ๕ อย่าง)
 ๑.นิวะระณะปัพพะ (กำหนดรู้นิวรณ์ ๕ อย่าง)   (หันทะ มะยัง นิวะระณะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เสฯ)
 กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
 - ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ ปัญจะสุ นีวะระเณสุ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ คือนิวรณ์ ๕ อย่าง
  กะกัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  ปัญจะสุ นีวะระเณสุ- คือนิวรณ์ ๕ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง- เมื่อความพอใจในกาม มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ความพอใจในกาม มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง- เมื่อความพอใจในกาม ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ความพอใจในกาม ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ กามะฉันทัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง เมื่อความพอใจในกามที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ กามะฉันทัสสะ ปะหานัง โหติ- เมื่อความพอใจในกามที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ กามะฉันทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- หรือความพอใจในกามที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง- เมื่อความพยาบาท มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ความพยาบาท มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง- เมื่อความพยาบาท ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ความพยาบาท ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ พะยาปาทัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง เมื่อความพยาบาทที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ พะยาปาทัสสะ ปะหานัง โหติ- เมื่อความพยาบาทที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ พะยาปาทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- หรือความพยาบาทที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย....ฯลฯ
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง- เมื่อความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง- เมื่อความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง เมื่อความหดหู่และเคลิบเคลิ้มที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ ปะหานัง โหติ- เมื่อความหดหู่และเคลิบเคลิ้มที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- หรือความหดหู่และเคลิบเคลิ้มที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย....ฯลฯ
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง- เมื่อความฟุ้งซ่านรำคาญ มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ความฟุ้งซ่านรำคาญ มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง- เมื่อความฟุ้งซ่านรำคาญ ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ความฟุ้งซ่านรำคาญ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง เมื่อความฟุ้งซ่านรำคาญที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ ปะหานัง โหติ- เมื่อความฟุ้งซ่านรำคาญที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- หรือความฟุ้งซ่านรำคาญที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย....ฯลฯ
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง- เมื่อความลังเลสงสัย มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉันติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ความลังเลสงสัย มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง- เมื่อความลังเลสงสัย ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉันติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ความลังเลสงสัย ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ วิจิกิจฉัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง เมื่อความลังเลสงสัยที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ วิจิกิจฉัสสะ ปะหานัง โหติ- เมื่อความลังเลสงสัยที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ วิจิกิจฉัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- หรือความลังเลสงสัยที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในธรรมบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  อัตถิ ธัมมันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
  ปัญจะสุ นีวะระเณสุ- คือ นิวรณ์ ๕ อยู่
 
  ๒.ขันธะปัพพะ (กำหนดรู้ขันธ์ ๕ อย่าง)
  (หันทะ มะยัง ขันธะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เสฯ)  ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ- คือ อุปาทานขันธ์ทั้งห้า
  กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
 
 ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ
 - คืออุปาทานขันธ์ทั้งห้า เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นดังนี้ว่า
  © อิติ รูปัง อิติ รูปัสสะ สะมุทะโย- อย่างนี้! รูป อย่างนี้ ! ความเกิดขึ้นแห่งรูป
  อิติ รูปัสสะ อัตถังคะโม- อย่างนี้! ความดับแห่งรูป
  © อิติ เวทะนา อิติ เวทะนายะ สะมุทะโย- อย่างนี้! เวทนา อย่างนี้ ! ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา
  อิติ เวทะนายะ อัตถังคะโม- อย่างนี้! ความดับแห่งเวทนา
  © อิติ สัญญา อิติ สัญญายะ สะมุทะโย- อย่างนี้! สัญญา อย่างนี้ ! ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา
  อิติ สัญญายะ อัตถังคะโม- อย่างนี้! ความดับแห่งสัญญา
  © อิติ สังขารา อิติ สังขารานัง สะมุทะโย- อย่างนี้! สังขาร อย่างนี้ ! ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร
  อิติ สังขารานัง อัตถังคะโม- อย่างนี้! ความดับแห่งสังขาร
  © อิติ วิญญาณัง อิติ วิญญาณัสสะ สะมุทะโย- อย่างนี้! วิญญาณ อย่างนี้ ! ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ
  อิติ วิญญาณัสสะ อัตถังคะโมติ- อย่างนี้! ความดับแห่งวิญญาณ
  อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในธรรมบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  อัตถิ ธัมมันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
  ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ- คือ อุปาทานขันธ์ทั้งห้าอยู่
 
  ๓. อายะตะนะปัพพะ (กำหนดรู้อายตนะภายใน-ภายนอก ๖ อย่าง)
  (หันทะ มะยัง อายะตะนะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เสฯ)   ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ- คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖
  กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ- คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  © จักขุญจะ ปะชานาติ รูเป จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จักนัยน์ตา ย่อมรู้จักรูป
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ- รู้จักนัยน์ตาและรูปทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ
  © โสตัญจะ ปะชานาติ สัทเท จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จักหู ย่อมรู้จักเสียง
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ- รู้จักหูและเสียงทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ
  © ฆานัญจะ ปะชานาติ คันเธ จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จักจมูก ย่อมรู้จักกลิ่น
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ- รู้จักจมูกและกลิ่นทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ
  © ชิวหิญจะ ปะชานาติ ระเส จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จักลิ้น ย่อมรู้จักรส
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ- รู้จักลิ้นและรสทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ
  © กายัญจะ ปะชานาติ โผฏฐัพเพ จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จักกาย ย่อมรู้จักสิ่งที่ถูกต้องด้วยกาย
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ- รู้จักกายและสิ่งที่ถูกต้องด้วยกายทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ
  © มะนัญจะ ปะชานาติ ธัมเม จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จักใจ ย่อมรู้จักธรรมารมณ์
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ- รู้จักใจและธรรมารมณ์ทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในธรรมบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  อัตถิ ธัมมันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่าง หนึ่งสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก
  เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
  ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ- คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖ อยู่
 
  ๔.โพชฌังคะปัพพะ (กำหนดรู้องค์ธรรมแห่งการรู้แจ้ง ๗ ประการ)
  (หันทะ มะยัง โพชฌังคะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เสฯ)  ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
 
 สัตตะสุ โพชฌังเคสุ
 - คือโพชฌงค์ ๗
  กะถัญจะ ภิกขะเว ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  สัตตะสุ โพชฌังเคสุ- คือโพชฌงค์ ๗ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัง- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัง- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์
 ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังคัง- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังคัง- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์
 ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง ปีติสัมโพชฌังคัง- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง ปีติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปีติสัมโพชฌังคัง- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง ปีติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ปีติสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ปีติสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัง- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัง- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังคัง- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังคัง- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สะมาธิสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สะมาธิสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  © สันตัง วา อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังคัง- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังคัง- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุเปกขาสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ อุเปกขาสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในธรรมบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  อัตถิ ธัมมันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก
  เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
  สัตตะสุ โพชฌังเคสุ- คือโพชฌงค์ ๗ อยู่ฯ
 
  ๕.๑. สัจจะปัพพะ (กำหนดรู้อริสัจ ๔ อย่าง)
  (หันทะ มะยัง อะริยะสัจจะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เสฯ)  ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง
  ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ- ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ คืออริยสัจ ๔
  กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ- คืออริยสัจ ๔ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  อิทัง ทุกขันติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้! ทุกข์
  อะยัง ทุกขะสะมุทะโยติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้! เหตุให้เกิดทุกข์
  อะยัง ทุกขะนิโรโธติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้! ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
  อะยัง ทุกขะนิโรคะคามินีปะฏิปะทาติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้! การปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
  © กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง- ภิกษุทั้งหลาย! ทุกข์ในอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า?
  ชาติปิ ทุกขา- แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์
  ชะราปิ ทุกขา- แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์
  มะระณัมปิ ทุกขัง- แม้ความตายก็เป็นทุกข์
  โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา- แม้ความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ
 ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์
  อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข- ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
  ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข- ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
  ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง- มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
  สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา- ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์
  © กะตะมา จะ ภิกขะเว ชาติ- ภิกษุทั้งหลาย! ความเกิด เป็นอย่างไรเล่า?
  ยา เตสัง เตสัง สัตตานิ ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย ชาติ สัญชาติ โอกกันติ,นิพพัตติ อะภินิพพัตติ ขันธานัง ปาตุภาโว อายะตะนานัง ปะฏิลาโภ
 - การเกิด การกำเนิด การก้าวลง การเกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์
 การได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์เหล่านั้นๆ
  อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชาติ- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความเกิด
  © กะตะมา จะ ภิกขะเว ชะรา- ภิกษุทั้งหลาย! ความแก่ เป็นอย่างไรเล่า?
  ยา เตสัง เตสัง สัตตานัง ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย ชะรา ชีระณะตา, ขัณฑิจจัง ปาลิจจัง วะลิตจะตา อายุโน สังหานิ อินทะริยานัง ปะริปาโก
 - ความแก่ ภาวะของความแก่ มีฟันหลุด ผมหงอก หนังเป็นเกลียว
 ความเสื่อมรอบแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์เหล่านั้นๆ
  อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชะรา- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความแก่
  © กะตะมัญจะ ภิกขะเว มะระณัง- ภิกษุทั้งหลาย! ความตาย เป็นอย่างไรเล่า ?
  ยา เตสัง เตสัง สัตตานัง ตัมหา ตัมหา สัตตะนิกายา จุติ จะวะนะตา เภโท อันตะระธานัง มัจจุมะระณัง, กาละกิริยา ขันธานัง เภโท กะเฬวะรัสสะ
 นิกเขโป ชีวิตินทะริยัสสะ อุปัจเฉโท
 - ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความแตกทำลาย ความหายไป การวายชีพ
 ความตาย การทำกาละ ความแตกทำลายแห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งซากศพไว้
 ความขาดแห่งอินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์เหล่านั้นๆ
  อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว มะระณัง- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความตาย
  © กะตะมา จะ ภิกขะเว โสโก  - ภิกษุทั้งหลาย! ความโศก เป็นอย่างไรเล่า?   โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะ อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ, ผุฏฐัสสะโสโก โสจะนา โสจิตัตตัง
 อันโต โสโก อันโต ปะริโสโก
 - ความแห้งใจ กิริยาที่แห้งใจ ภาวะแห่งบุคคลผู้แห้งใจ ความผากภายใน ความแห้ง
 ผากภายใน ของบุคคลผู้ถึงความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกธรรมคือความทุกข์อย่างใดอย่าง
 หนึ่งกระทบแล้ว
  อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว โสโก- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความโศก
  © กะตะมา จะ ภิกขะเว ปะริเทโว- ภิกษุทั้งหลาย! ความร่ำไรรำพัน เป็นอย่างไรเล่า?
  โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะอัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ, ผุฏฐัสสะ อาเทโว ปะริเทโว
 อาเทวะนาปะริเทวะนา อาเทวิตัตตัง ปะริเทวิตัตตัง
 - ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ กิริยาที่ร่ำไรรำพัน
 ภาวะบุคคลผู้คร่ำครวญ ภาวะบุคคลผู้ร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ถึงความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
 ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว
  อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะริเทโว- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความร่ำไรรำพัน
  © กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง- ภิกษุทั้งหลาย! ความทุกข์ทางกาย เป็นอย่างไรเล่า?
  ยัง โข ภิกขะเว กายิกัง ทุกขัง กายิกัง อะสาตัง- ภิกษุทั้งหลาย! ความลำบากทางกาย ความไม่สำราญทางกาย
  กายะสัมผัสสะชัง ทุกขัง อะสาตัง เวทิยัง- ความเสวยอารมณ์ไม่ดีที่เป็นทุกข์ เกิดแต่กายสัมผัส
  อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขัง- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความทุกข์ทางกาย
  © กะตะมัญจะ ภิกขะเว โทมะนัสสัง- ภิกษุทั้งหลาย! ความทุกข์ใจ เป็นอย่างไรเล่า?
  ยัง โข ภิกขะเว เจตะสิกัง ทุกขัง เจตะสิกัง อะสาตัง- ภิกษุทั้งหลาย! ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต
  เจโตสัมผัสสะชัง ทุกขัง อะสาตัง เวทะยิตัง- ความเสวยอารมณ์ไม่ดีที่เป็นทุกข์ เกิดแต่ความกระทบทางใจ
  อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว โทมะนัสสัง- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความทุกข์ใจ
  © กะตะโม จะ ภิกขะเว อุปายาโส- ภิกษุทั้งหลาย! ความคับแค้นใจ เป็นอย่างไรเล่า?
  โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะอัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ, ผุฏฐัสสะ อายาโส อุปายาโส
 อายาสิตัตตัง อุปายาสิตัตตัง
 - ภิกษุทั้งหลาย! ความแค้นความคับแค้น ภาวะของบุคคลผู้แค้น ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น
 ของบุคคลผู้ถึงความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว
  อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว อุปายาโส - ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความคับแค้นใจ   © กะตะโม จะ ภิกขะเว อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข- ภิกษุทั้งหลาย! ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ยัสสะ เต โหนติ อะนิฏฐา อะกันตา อะมะนาปา รูปา สัทธา คันธา ระสา โผฏฐัพพา - ภิกษุทั้งหลาย! ในโลกนี้อารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่ถูกต้องกาย อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจแก่ผู้ใด
  เย วา ปะนัสสะ เต โหนติ อะนัตถะกามา อะหิตะกามา อะผาสุกามา อะโยคักเขมะกามา
 - หรือชนเหล่าใดเป็นผู้ไม่หวังประโยชน์ ไม่หวังความเกื้อกูล ไม่หวังความผาสุกไม่หวังความเกษมจากโยคะ
  ยา เตหิ สังคะติ สะมาคะโต สะโมธานัง มิสสี ภาโว- การไปด้วยกัน การมาด้วยกัน การอยู่ร่วมกัน ความคลุกคลีกัน ด้วยอารมณ์หรือบุคคลเหล่านั้น
  อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
  กะตะโม จะ ภิกขะเว ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข- ภิกษุทั้งหลาย! ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ยัสสะ เต โหนติ อิฏฐากันตา มะนาปา รูปา สัททา คันธา ระสา โผฏฐัพพา
 - ภิกษุทั้งหลาย! ในโลกนี้อารมณ์คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่ถูกต้องกาย อันเป็นที่ปรารถนา ที่รักใคร่ ที่พอใจของผู้ใด
  เย วา ปะนัสสะ เต โหนติ อัตถะกามา หิตะกามา ผาสุกามา โยคักเขมะกามา- หรือชนเหล่าใด เป็นผู้หวังประโยชน์ หวังความเกื้อกูล หวังความผาสุก
 หวังความเกษมจากโยคะ
  มาตา วา ปิตา วา ภาตา วา ภะคินี วา มิตตา วา อะมัจจา วา ญาติสาโลหิตา วา- คือมารดาบิดา พี่น้องชายพี่น้องหญิง มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตก็ตาม
  ยา เตหิ อะสังคะติ อะสะมาคะโม อะสะโมธานัง อะมิสสี ภาโว- การไม่ได้ไปร่วม การไม่ได้มาร่วม การไม่ได้อยู่ร่วม การไม่ได้คลุกคลีกัน
 ด้วยอารมณ์หรือบุคคลเหล่านั้น
  อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
  © กะตะมัญจะ ภิกขะเว ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง- ภิกษุทั้งหลาย! ความที่สัตว์ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า?
  ชาติ ธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ- ภิกษุทั้งหลาย! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
  อะโห วะตะ มะยัง นะ ชาติ ธัมมา อัสสามะ- โอหนอ! ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา
  นะ จะ วะตะ โน ชาติ อาคัจเฉยยาติ- และขอความเกิด ไม่พึงมาถึงเราทั้งหลายหนอ
  นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง- ก็ข้อนี้! สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
  อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง- แม้นี้! ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
  ชะราธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ- ภิกษุทั้งหลาย! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
  อะโห วะตะ มะยัง นะ ชะราธัมมา อัสสามะ- โอหนอ! ขอเราไม่พึงมีความแก่เป็นธรรมดา
  นะ จะ วะตะ โน ชะรา อาคัจเฉยยาติ- และขอความแก่ไม่พึงมาถึงเราทั้งหลายหนอ
  นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง- ก็ข้อนี้! สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
  อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง- แม้นี้! ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
  พะยาธิธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ- ภิกษุทั้งหลาย! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ ผู้มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
  อะโห วะตะ มะยัง นะ พะยาธิธัมมา อัสสามะ- โอหนอ! ขอเราไม่พึงมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
  นะ จะ วะตะโน พะยาธิธัมมา อาคัจเฉยยาติ- และขอความเจ็บไข้ไม่พึงมาถึงเราทั้งหลายหนอ
  นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง- ก็ข้อนี้! สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
  อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง- แม้นี้! ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
  มะระณะธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ- ภิกษุทั้งหลาย! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ ผู้มีความตายเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
  อะโห วะตะ มะยัง นะ มะระณะธัมมา อัสสามะ- โอหนอ! ขอเราไม่พึงมีความตายเป็นธรรมดา
  นะ จะ วะตะ โน มะระณะธัมมา อาคัจเฉยยาติ- และขอความตายไม่พึงมาถึงเราทั้งหลายหนอ
  นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง- ก็ข้อนี้! สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
  อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง- แม้นี้! ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
  โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ
 - ภิกษุทั้งหลาย! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ ผู้มีความโศกความร่ำไรรำพัน
 ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
  อะโห วะตะ มะยัง นะ โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมา อัสสามะ- โอหนอ! ขอเราไม่พึงมีความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย
 ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจเป็นธรรมดา
  นะ จะ วะตะ โน โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา อาคัจเฉยยาติ- และขอความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ
 ความคับแค้นใจ ไม่พึงมาถึงเราทั้งหลายหนอ
  นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง- ก็ข้อนี้! สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
  อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง- แม้นี้! ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
  กะตะมา จะ ภิกขะเว สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา- ภิกษุทั้งหลาย! ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า?
  เสยยะถีทัง- ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ
  รูปูปาทานักขันโธ- ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือรูป
  เวทะนูปาทานักขันโธ- ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือเวทนา
  สัญญูปาทานักขันโธ- ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสัญญา
  สังขารูปาทานักขันโธ- ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสังขาร
  วิญญาณูปาทานักขันโธ- ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือวิญญาณ
  อิเม วุจจันติ ภิกขะเว สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกโดยย่อว่า อุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์
  อิเม วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขัง- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ทุกข์ในอริยสัจ
  มีต่อ....
 |