เห็นพระพุทธเจ้า คือเห็นปฏิจจสมุปบาท


เห็นพระพุทธเจ้า คือเห็นปฏิจจสมุปบาท

โย ธัมมัง ปัสสะติ โส มัง ปัสสะติ,
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเราตถาคต

โย มัง ปัสสะติ โส ธัมมัง ปัสสะติ
ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม

โย ธัมมัง ปัสสะติ โส ปะฏิจจะสะมุปปาทัง ปัสสะติ,
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นปฏิจจสมุปบาท,

โย ปะฏิจจะสะมุปปาทัง ปัสสะติ โส ธัมมัง ปัสสะติ,
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม,

(เพราะเหตุนั้น การเห็นพระพุทธเจ้า คือการเห็นปฏิจจสมุปบาท
คือการเห็นความเกิดขึ้นของความทุกข์, และการดับไม่เหลือของความทุกข์
ในขณะจิตหนึ่งๆ)

วักกลิสูตร ๑๗/๑๒๙, ๒ มูลปัณณาสก ๑๒/๓๕๖/๓๕๙

ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ

โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า แรกตรัสรู้
ประทับอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียวเสวยวิมุตติสุข
ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลม
และปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้ :-

ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร

เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ

เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ

เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้ .


ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม

อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ

เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ

เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ

เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ

เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ

เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ

เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ

เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ

เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ

เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้ .

มหา. วิ ๔/๑/๓๐๔-๓๐๕



พระพุทธพจน์ ปุจฉา-วิสัชชนา พระสูตร
พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน

 

 กลับสู่หน้าหลัก