|
|
ตอนที่ ๑๐
ชีวประวัติ พระสุนทรธรรมากร
(หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ)
วัดธาตุมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม
|
|
นิมิตประหลาด
ตอนอาย ๑๙ ปี เดินธุดงค์ไปจังหวัดเลย
กับพระภิกษุ ๒ รูป โดยใช้เวลาเดิน ๑๕ วัน จึงถึง
ได้ไปศึกษาการปฏิบัติจากชีปะขาวครุฑ ซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติ
เหมือนกันกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
ในขณะกำลังฝึกกรรมฐานอยู่นั้น ได้ปรากฏภาพนิมิต
คือ พระอินทร์ลงมาทุกครั้ง อยู่ข้างๆ
ในขณะที่นั่งสมาธิ เห็นทุกวันที่ปฏิบัติ
จนตลอดว่า หลับตาลงก็เห็นแต่พระอินทร์ ไม่รู้จะแก้อย่างไร
เพราะในขณะนั้น ก็ห่างจากครูบาอาจารย์ แก้นิมิตก็ไม่ได้
ก็เห็นอยู่ทุกคืนๆ พอเห็นนานวันเข้าก็เกิดความพอใจ
ในรูปร่างลักษณะของพระอินทร์ ในขณะนั้นใจก็อยากจะเป็นพระอินทร์
แต่ก็ยังไม่ได้ปรารถนา เพียงคิดเฉยๆ การเห็นนิมิตคือพระอินทร์นั้น
ท่านเล่าว่า เริ่มเห็นตอนที่ท่านเริ่มปฏิบัติธรรม ตอนอยู่บ้านหนองหอยใหญ่
อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม
|
|
|
ถามพระอินทร์
ท่านเล่าว่า วันนั้นเป็นวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ ท่านก็เริ่มนั่งสมาธิ
พระอินทร์ก็ลงมาเหมือนเดิม ความรู้สึกในขณะนั้น
ไม่ได้นั่งสมาธิ คือยืนที่ครกตำข้าว พระอินทร์ก็ลงมานั่งอยู่ที่หัวครกตำข้าว
เมื่อท่านเห็นพระอินทร์ลงมา ก็ถามว่า
“มหาบพิตรราชสมภาร เสด็จลงมาสู่มนุษย์โลกนี้ มีวัตถุประสงค์อย่างไร”
พระอินทร์ ตอบว่า “ที่โยมลงมาสู่มนุษย์โลกนี้ ก็เพราะต้องการอยากจะนิมนต์สามเณรขึ้นสวรรค์”
จะให้อาตมาขึ้นเมื่อไร หลวงปู่ถามต่อไป “วันแรม ๑ ค่ำ” พระอินทร์ตอบ
หลวงปู่ท่านคิดว่า แรม ๑ ค่ำ ก็เป็นวันพรุ่งนี้ และคิดต่อไปว่า ขึ้นสวรรค์ร่างกายเรายังหนักอยู่
จะเหาะขึ้นไปเหมือนกับพระอินทร์ไม่ได้หรอก ก็คงจะไม่ได้เป็นแน่
คิดไปคิดมาก็คิดว่า ถ้าขึ้นไปบนสวรรค์นี้ ดังนิมิตนี้ จะต้องไปแต่วิญญาณ
ส่วนร่างกายคงจะไปไม่ได้ ถ้าไปแต่วิญญาณก็คงตาย
|
|
หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ |
พิจารณาความตาย
พอออกจากสมาธิ ก็มานั่งคิดพิจารณาว่า
“เรานี้จะตายจริงๆ หรือ พรุ่งนี้”
ตามความรู้สึกว่า ตายแน่ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันแรม ๑ ค่ำ”
คืนนั้นไม่นอน สมาธิต่อจนสว่าง พอสว่างแล้วก็ทำธุระปัดวาดกุฏิวิหาร ที่พักที่อาศัยตักน้ำเทกระโถนถวายพระ แล้วออกบิณฑบาตมาฉัน
เมื่อฉันแล้ว ก็มาพิจารณาว่า หากเราตาย ก็ขอให้ตายตอนนั่ง
ตายในขณะทำความเพียร จะไม่ตายในเวลาที่เราละความเพียรแล้ว
ท่านนึกอยู่ในใจอยู่อย่างนี้ ก็เลยบอกพระภิกษุวันว่า
อาจารย์ครับถ้าผมตาย ให้ตัดเอานิ้วมือผม นิ้วชี้ ข้างขวานิ้วหนึ่ง ข้างซ้ายนิ้วหนึ่ง
ให้ตัดตรงโคลนนิ้ว ท่านบอกว่า ตายแล้วไม่เจ็บหรอก ให้ตากแดดให้แห้ง
ถ้าไม่แห้งให้ย่างไฟก็ได้ ให้เอากลับไปให้แม่ของผม และบอกกับแม่ผมว่า
ไม่ต้องเป็นห่วง ผมไปดีแล้ว ได้ไปสวรรค์ ตามคำของพระอินทร์พูด
พระภิกษุวัน ก็กล่าวว่า ทำไมถึงพูดอย่างนี้ แต่ถึงอย่างไร สามเณรก็อย่าประมาท”
|
|
สอนใจตนเอง
หลวงปู่ก็พูดเท่านี้ แล้วจิตก็สอนตนเองว่า
“ชีวิตนี้น้อยหนัก เมื่อถึงเวลาจะตายก็ต้องตาย
ละร่างกายนี้ไป ชีวิตของคนเราไม่ยั่งยืน
ทอดอาลัยในชีวิต ทำให้เกิดความกล้าไม่กลัว ”
แล้วก็ทำความเพียรต่อไป ตั้งแต่เช้าถึงตอนเย็น
เมื่อถึงเวลาทำวัตรเย็น ก็มาทำวัตรเย็นร่วมกับพระสงฆ์ เมื่อเสร็จแล้ว
เข้าสู่ที่ปฏิบัตินั่งสมาธิ ออกจากสมาธิ ก็เดินจงกลมตลอด ออกจากเดินจงกลม
ก็มานั่งสมาธิ ในช่วงที่พักผ่อนก็กำหนดลมหายใจไปเรื่อยจนหลับ |
|
หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ |
รู้ตัวตื่นขึ้นมา คิดว่า เราคงตายแล้ว
ก็ร้องถามพระภิกษุที่อยู่ไม่ห่างนักว่า
“อาจารย์ครับๆ” ก็ไม่มีเสียงตอบเงียบ ปลุกอย่างไรก็ไปขยับตัว”
ก็มาคิดอีกว่า “คนตายเรียกคนเป็นอาจจะไม่ได้ยิน” ก็คิดต่อไปอีกว่า
“เราตายแน่หรือ หรือว่ายังไม่ตาย” เอามือไปจับที่หนังสือตรงที่หัวนอน
ก็ยังอยู่ปกติ จับดูมุ้งและถุงย่ามก็เป็นปกติ” มาคิดว่า ตายหรือไม่ตายก็ยังปกติอยู่” ก็สงสัยในใจอยู่
ก็ลองปลุกพระที่อยู่ไม่ห่างอีกครั้ง
ได้ยินเสียงท่านขานรับ แค่นั้นท่านก็รู้สึกตัวเลยว่า
“เรายังไม่ตาย”ไม่นานก็สว่าง วันแรม ๑ ค่ำ ก็ผ่านไป ท่านก็คิดในใจว่า ไม่ตายแล้ว”
หลังจากวันนั้นมา นิมิตที่พบเห็นพระอินทร์บ่อย ๆ
ก็หายไปไม่ปรากฏอีกเลย
รู้แล้ว ความหลงก็หายไป
ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า
“นิมิตทั้งหลาย ก็เป็นเพียงแค่ทางผ่านของการปฏิบัติ
เหมือนเราเดินทางด้วยเท้า เราอาจเห็นสิ่งต่างที่อยู่ตามข้างทาง
เห็นแล้วอย่าไปหลง เห็นแล้วอย่าไปติดอยู่
ถ้าไปหลงไปติดอยู่ก็ไม่ไปถึงไหน ติดอยู่ตรงนั้นแหละ” |
|
|
|