พระสะหัสสะนัย
สุทธิกะปะฏิปะทา
( กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา)
กะตะเม ธัมเม กุสะมา ยัส๎มิง สะมะเย โลกุตตะรัง ฌานัง
ภาเวติ นิยยานิกัง อะปะจะยะคามิง ทิฏฐิคะตานัง ปะหานายะ
ปะฐะมายะ ภูมิยา ปัตติยา วิวิจเจวะ กาเมหิ ปะฐะมัง ฌานัง
อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ ทุกขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง ทุกขาปะฏิปะทัง
ขิปปาภิญญัง สุขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง สุขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง
ตัส๎มิง สะมะเย ผัสโส โหติ อะวิกเขโป โหติ อิเม ธัมมา กุสะลา
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัส๎มิง สะมะเย โลกุตตะรัง ฌานัง
ภาเวติ นิยยานิกัง อะปะจะยะคามิง ทิฏฐิคะตานัง ปะหานายะ
ปะฐะมายะ ภูมิยา ปัตติยา วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา ทุติยัง
ฌานัง ตะติยัง ฌานัง จะตุตถัง ฌานัง ปะฐะมัง ฌานัง ปัญจะมัง
ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ ทุกขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง
ทุกขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง สุขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง
สุขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง ตัส๎มิง สะมะเย ผัสโส โหติ
อะวิกเขโป โหติ อิเม ธัมมา กุสะลา
สุญญะตะมูละกะปะฏิปะทา
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัส๎มิง สะมะเย โลกุตตะรัง ฌานัง
ภาเวติ นิยยานิกัง อะปะจะยะคามิง ทิฏฐิคะตานัง ปะหานายะ
ปะฐะมายะ ภูมิยา ปัตติยา วิวิจเจวะ กาเมหิ ปะฐะมัง ฌานัง
อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ ทุกขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง สุญญะตัง
ทุกขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง สุญญะตัง สุขาปะฏิปะทัง ทันธา-
ภิญญัง สุญญะตัง สุขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง สุญญะตัง ตัส๎มิง
สะมะเย ผัสโส โหติ อะวิกเขโป โหติ อิเม ธัมมา กุสะลา
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัส๎มิง สะมะเย โลกุตตะรัง ฌานัง
ภาเวติ นิยยานิกัง อะปะจะยะคามิง ทิฏฐิคะตานัง ปะหานายะ
ปะฐะมายะ ภูมิยา ปัตติยา วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา ทุติยัง
ฌานัง ตะติยัง ฌานัง จะตุตถัง ฌานัง ปะฐะมัง ปัญจะมัง
ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ ทุกขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง
สุญญะตัง ทุกขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง สุญญะตัง สุขาปะฏิปะทัง
ทันธาภิญญัง สุญญะตัง สุขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง สุญญะตัง
ตัส๎มิง สะมะเย ผัสโส โหติ อะวิกเขโป โหติ อิเม ธัมมา กุสะลา
อัปปะณิหิตะปะฏิปะทา
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัส๎มิง สะมะเย โลกุตตะรัง
ฌานัง ภาเวติ นิยยานิกัง อะปะจะยะคามิง ทิฏฐิคะตานัง
ปะหานายะ ปะฐะมายะ ภูมิยา ปัตติยา วิวิจเจวะ กาเมหิ ปะฐะมัง
ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ ทุกขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง อัปปะ-
ณิหิตัง ทุกขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง อัปปะณิหิตัง สุขาปะฏิปะทัง
ทันธาภิญญัง อัปปะณิหิตัง สุขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง อัปปะณิหิตัง
ตัส๎มิง สะมะเย ผัสโส โหติ อะวิกเขโป โหติ อิเม ธัมมา กุสะลา
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัส๎มิง สะมะเย โลกุตตะรัง ฌานัง
ภาเวติ นิยยานิกัง อะปะจะยะคามิง ทิฏฐิคะตานัง ปะหายนายะ
ปะฐะมายะ ภูมิยา ปัตติยา วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา ทุติยัง
ฌานัง ตะติยัง ฌานัง จะตุตถัง ฌานัง ปะฐะมัง ฌานัง ปัญจะมัง
ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ ทุกขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง
อัปปะณิหิตัง ทุกขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง อัปปะณิหิตัง
สุขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง อัปปะณิหิตัง สุขาปะฏิปะทัง
ขิปปาภิญญัง อัปปะณิหิตัง ตัส๎มิง สะมะเย ผัสโส โหติ อะวิกเขโป
โหติ อิเม ธัมมา กุสะลา
อะธิปะติ
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัส๎มิง สะมะเย โลกุตตะรัง
ฌานัง ภาเวติ นิยยานิกัง อะปะจะยะคามิง ทิฏฐิคะตานัง
ปะหานายะ ปะฐะมายะ ภูมิยา ปัตติยา วิวิจเจวะ กาเมหิ ปะฐะมัง
ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ ทุกขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง
ฉันทาธิปัตเตยยัง วิริยาธิปัตเตยยัง จิตตาธิปัตเตยยัง วิมังสาธิปัตเตยยัง
ทุกขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง ฉันทาธิปัตเตยยัง วิริยาธิปัตเตยยัง
จิตตาธิปัตเตยยัง วิมังสาธิปัตเตยยัง สุขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง
ฉันทาธิปัตเตยยัง วิริยาธิปัตเตยยัง จิตตาธิปัตเตยยัง วิมังสาธิปัตเตยยัง
สุขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง ฉันทาธิปัตเตยยัง วิริยาธิปัตเตยยัง
จิตตาธิปัตเตยยัง วิมังสาธิตเตยยัง ตัส๎มิง สะมะเย ผัสโส โหติ
อะวิกเขโป โหติ อิเม ธัมมา กุสะลา
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัส๎มิง สะมะเย โลกุตตะรัง ฌานัง
ภาเวติ นิยยานิกัง อะปะจะยะคามิง ทิฏฐิคะตานัง ปะหานายะ
ปะฐะมายะ ภูมิยา ปัตติยา วิตักกะวิจารนัง วูปะสะมา ทุติยัง
ฌานัง ตะติยัง ฌานัง จะตุตถัง ฌานัง ปะฐะมัง ฌานัง ปัญจะมัง
ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ ทุกขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง
ฉันทาธิปัตเตยยัง วิริยาธิปัตเตยยัง จิตตาธิปัตเตยยัง วิมังสาธิปัตเตยยัง
ทุกขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง ฉันทาธิปัตเตยยัง วิริยาธิปัตเตยยัง
จิตตาธิปัตเตยยัง วิมังสาธิปัตเตยยัง สุขาปะฏิปะทัง ทันธาภิญญัง
ฉันทาธิปัตเตยยัง วิริยาธิปัตเตยยัง จิตตาธิปัตเตยยัง วิมังสาธิปัตเตยยัง
สุขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง ฉันทาธิปัตเตยยัง วิริยาธิปัตเตยยัง
จิตตาธิปัตเตยยัง วิมังสาธิปัตเตยยัง ( อะทุกขะมะสุขาปะฏิปะทัง
ทันธาภิญญัง ฉันทาธิปัตเตยยัง วิริยาธิปัตเตยยัง จิตตาธิปัตเตยยัง
วิมังสาธิปัตเตยยัง อะทุกขะมะสุขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง ฉันทาธิ-
ปัตเตยยัง วิริยาธิปัตเตยยัง จิตตาธิปัตเตยยัง วิมังสาธิปัตเตยยัง) ตัส๎มิง
สะมะเย ผัสโส โหติ อะวิกเขโป โหติ อิเม ธัมมา กุสะลา
พิธีการทำบุญ
ตามประเพณีของชาติที่เจริญแล้ว ย่อมมีพิธีการทำบุญต่าง ๆ กันตาม
คตินิยมของชนหมู่นั้น ๆ ชาตินั้น ๆ ภาษานั้น ๆ โดยเฉพาะพิธีการทางพระ
พุทธศาสนา เมื่อกล่าวโดยปริยายแล้วมีมากด้วยกัน แต่ถ้าจะกล่าวโดยสรุป
ก็คงมีเพียง ๒ ประการเท่านั้น คือ
๑. ทำบุญในงานมงคล
๒. ทำบุญในงานอวมงคล
การทำบุญในงานมงคลนั้น ได้แก่การทำบุญเพื่อความสุข ความ
เจริญ โดยปรารภเหตุที่ดี ที่เป็นมงคล เช่น ทำบุญฉลองอายุครบ ๓ รอบ
๕ รอบ ๗ รอบ หรือทำบุญวันเกิด ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญฉลองพระ
พุทธรูป ทำบุญฉลองพระธรรมที่สร้างขึ้น และฉลองพระสงฆ์ที่อุปสมบท
ขึ้นใหม่ หรือทำบุญในงานมงคลโกนผมไฟ โกนจุก มงคลสมรส เป็นต้น
เรียกว่าทำบุญในงานมงคล
การทำบุญในงานอวมงคลนั้น ได้แก่การทำบุญเพื่อความสุข
ความเจริญ โดยปรารภเหตุที่ไม่สู้ดี แล้วจัดการทำบุญเพื่อกลับร้ายให้
กลายเป็นดี เช่นปรารภการมรณกรรมของญาติมิตร หรือทำบุญ ๗ วัน
๕๐ วัน ๑๐๐ วัน หรือทำบุญเพื่ออุทิศกุศลตามธรรมเนียม หรือมีลาง
นิมิตร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เช่น อสนีบาตตกต้องเคหสถาน
แร้งจับหลังคาบ้านเรือน สัตว์ที่ถือว่าไม่เป็นมงคลขึ้นบ้านเป็นต้น
แล้วจัดการทำบุญเพื่อปัดเป่าอุบาทว์ หรือลางนิมิตร้ายเหล่านั้นให้กลับเป็นดี
อย่างนี้เรียกว่าทำบุญในงานอวมงคล
การทำบุญทั้ง ๒ อย่างดังกล่าวนี้ ตามประเพณีนิยมในพระพุทธ-
ศาสนา มีวิธีการที่จะต้องจัดเตรียมการอีกหลายอย่าง ดังจะกล่าวเป็น
ข้อย่อ ๆ ดังต่อไปนี้
การทำบุญเลี้ยงพระ
๑. นิมนต์พระก่อน
เมื่อกำหนดแน่นอนแล้วว่าจะทำบุญในวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น
เวลานั้น กิจเบื้องต้นควรนิมนต์พระก่อน ด้ว ย การเขียนฎีกานิมนต์พระ
ล่วงหน้าอย่างน้อย ๓ วัน ๗ วัน ฎีกาสำหรับนิมนต์พระนั้นมีตัวอย่างดังนี้
ขออาราธนาพระคุณเจ้า ( พร้อมด้วยพระสงฆ์ในวัดนี้อีก... รูป
เจริญพระพุทธมนต์ หรือสวดมนต์ หรือรับบิณฑบาต หรือแสดงธรรม
เทศนาแล้วแต่กรณีย์) ในงาน...................... ที่................. ถนน...............
ตำบล................... อำเภอ............................. จังหวัด....................... กำหนด
วันที่............... เดือน................... พ. ศ........................ เวลา......................... น.
รุ่งขึ้น............. เวลา.................... น. รับภัตตาหาร.......................( เช้าหรือเพล)
ถ้าสวดมนต์และฉันวันเดียว หรือเวลาเดียวกัน ไม่ต้องใช้คำว่า
รุ่งขึ้น เพียงแต่บอกว่าเจริญพระพุทธมนต์ แล้วรับบิณฑบาตเช้าหรือเพล
ถ้าจะต้องใช้บาตรปิ่นโต ให้เขียนในท้ายฎีกา ว่ามีบาตรปิ่นโตด้วย หากจะ
มีรถหรือเรือรับส่ง ก็ลงหมายเหตุในท้ายฎีกา กำหนดเวลาให้พระได้ทราบล่วงหน้า
ถ้ารู้จักมักคุ้นกับพระสงฆ์ จะนิมนต์โดยไม่ต้องเขียนฎีกาก็ใช้ได้
แต่ขอเตือนว่าการนิมนต์พระสงฆ์มาฉันอาหารนั้น จงอย่างระบุชื่ออาหาร
เช่น ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ ถ้าระบุแล้ว จะขัดกับทางพระวินัย
ของสงฆ์ จึงมีสมณ ะ โวหารสำหรับนิมนต์พระมาฉันว่า นิมนต์รับ
บิณฑบาตเช้า หรือเพล ดังนี้ หรือจะพูดว่า นิมนต์พระคุณเจ้า ฉันเช้าหรือ
ฉันเพล ดังนี้ก็ใช้ได้
งานมงคลสมรส นิยมนิมนต์พระคู่ คือ ๖ รูป ๘ รูป ๑๐ รูป
เพราะคติโบราณเพื่อจะให้คู่บ่าวสาวนิมนต์ฝ่ายละจำนวนเท่าๆ กัน หรือ
รับเป็นเจ้าภาพฝ่ายละเท่า ๆ กัน ส่วนงานมงคลอื่น ๆ นิมนต์พระ ๕ รูป
๗ รูป ๙ รูป คือนิมนต์พระคี่ ถ้าเป็นงานทำบุญอายุ นิยมนิมนต์ให้เกิน
กว่าอายุขึ้นไป ถ้าว่าเป็นการเพิ่มอายุ
๒. เตรียมสถานที่และจัดอาสนะ
สถานที่ที่จะบำเพ็ญกุศลนั้น ๆ จะเป็นบ้านใหญ่ บ้านเล็ก
บ้านใหม่ หรือ บ้านเก่าก็ตาม ถ้าได้จัดทำให้ถูกสุขลักษณะแล้ว ก็
จะทำให้เจริญตา เจริญใจได้ การจัดอาสนสงฆ์นั้นต้องจัดให้สูงกว่า
คฤหัสถ์ จัดให้นั่งห่างกันพอควร ใช้พรมหรือผ้าปูนั่งเฉพาะองค์ ๆ ถ้าไม่
สามารถจะจัดที่เฉพาะองค์ ๆ ได้ ก็ใช้ผ้าขาวปูบนพรมรองนั่งอีกชั้นหนึ่ง
ก็ยิ่งดี เพราะผ้าขาวเป็นของสูง เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงอีกด้วย
จัดสถานที่พระนั่งเจริญพระพุทธมนต์ให้อยู่เบื้องซ้ายของพระพุทธรูป
ถ้าสถานที่ไม่อำนวยหรือจำเป็นจะต้องจัดให้พระสงฆ์นั่งทางขวาของพระพุทธ
ก็ควรจัดพระพุทธให้หันพระพักตร์มาทางพระสงฆ์ โดยไม่ต้องเข้าแถวกับพระสงฆ์
๓. จัดภาชนะเครื่องใช้สำหรับพระ
ถ้ามีของมากก็จัดถวายองค์ละที่ โดยตั้งทางขวามือของพระ หาก
มีของน้อยจะจัดเพียง ๒ องค์ต่อ ๑ ที่ก็ใช้ได้ ส่วนถ้วยน้ำร้อน แก้วน้ำเย็น
ต้องใช้องค์ละที่ ตั้งใจระหว่าง ๆของที่จำเป็นต้องใช้คือ กระโถน ภาชนะ
น้ำเย็น พานหมากพลูบุหรี่ จัดตั้งกระโถนอยู่ข้างใน ถัดออกมาภาชนะ
น้ำเย็น แล้วถึงหมากพลูบุหรี่ เป็นที่สุด ส่วนน้ำร้อนประเคนภายหลัง
๔. จัดเครื่องตั้งสักการบูชา
อัญเชิญ พระพุทธรูปมาตั้ง บนโต๊ะบูชาที่เตรียมไว้อย่างสะอาด
และสวยงาม ทางขวามือของอาสนพระสงฆ์ ดังกล่าวแล้ว ถ้าเป็นโต๊ะ
หมู่ต้องจัดให้ถูกต้องตามระเบียบ ถ้าไม่มีโต๊ะหมู่แต่ใช้โต๊ะอื่นแทนต้อง
หาสิ่งประกอบตามสมควร เช่น แจกัน เชิงเทียน กระถางธูป สำหรับกระถาง
ธูปหรือเครื่องใช้อื่นใดที่จะประกอบกับโต๊ะบูชา พึงระวังให้ดี ไม่ควรใช้
ภาชนะอันน่ารังเกียจ เช่น กระโถน เป็นต้น
๕. ภาชนะสำหรับใส่น้ำมนต์
จะใช้บาตรหรือหม้อน้ำมนต์ หรือขันน้ำพานรองทองเหลือง หรือ
ขันมีเชิงรองอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ใส่น้ำประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ขันเงิน
ขันทองไม่ควรใช้ เพราะไม่สะดวกแก่การที่พระจะจับต้อง เนื่องจากของเหล่านั้น
เป็นวัตถุอนามาส ขัดกับพระวินัยสงฆ์
๖. เครื่องประกอบน้ำพระพุทธมนต์
เตรียมเทียนทำน้ำมนต์ไว้ ๑ เล่ม ควรใช่เทียนขี้ผึ้งอย่างดี หนัก
๑ บาท ไส้เทียนใหญ่พอควร ติดไว้ที่ขอบขันน้ำมนต์ให้แน่น เตรียมใบ
เงินใบทองใส่ลงในขันน้ำมนต์พอควร ถ้าหาไม่ได้จะใช้ดอกบัวแทนก็ได้
แต่ไม่ควรจะใช้ดอกไม้อื่นแทน ส่วนเครื่องประพรมน้ำพระพุทธมนต์
ควรจะใช้หญ้าคามัดเป็นกำแล้วตัดปลายและรากทิ้ง กะยาวประมาณ ๑
ศอก เพราะถือกันว่าหญ้าคาเป็นหญ้ามงคล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อจะ
ได้ตรัสรู้พระอนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ทรงประทับนั่งบนมัดหญ้าคา
ซึ่งโสตถิยพราหมณ์ถวายในวันที่พระองค์จะได้ตรัสรู้ อันเรียกว่า รัตนบังลังก์
แม้ในศาสนาพราหมณ์ ก็ถือกันว่าเป็นหญ้ามงคลเหมือนกัน เกิดขึ้น
เมื่อครั้งเทวดาแย่งน้ำอมฤตกับอสูร หกตกลงมาในมนุษย์โลกจึงเกิด
เป็นหญ้าคาขึ้น เพราะฉะนั้นจึงใช้หญ้าคา ถ้าสุดความสามารถที่จะ
หาได้จริง ๆ จึงค่อยใช้อย่างอื่นแทน.
๗. การโยงด้ายสายสิญจน์
โยงเป็นทักษิณาวัฏ คือเวียนจากซ้ายไปขวาอย่างเข็มนาฬิกา
รอบเคหสถาน หรือบริเวณบ้านเรือน แล้วนำเข้ามาโยงที่โต๊ะพระ-
พุทธรูปวงฐานพระพุทธรูปด้วย ต่อลงมาก็ลงภาชนะน้ำมนต์ โดยทักษิณาวรรต
เช่นกัน เสร็จแล้วม้วนสายสิญจน์วางไว้บนพานที่บูชา หรือที่พระสงฆ์
๘. เมื่อพระสงฆ์มาถึงบ้าน
ฝ่ายเจ้าภาพต้อจัดการต้อนรับให้ดี ถ้าท่านไม่ได้สวมรองเท้า
ต้องคอยตักน้ำล้างเท้าให้ท่าน และหาผ้าเช็ดเท้าเตรียมไว้ด้วย
เมื่อพระนั่งบนอาสนะแล้ว ประเคนขันน้ำ หมากพลู บุหรี่ที่เตรียมไว้
เมื่อถึงเวลาที่พระจะเจริญพระพุทธมนต์หรือฉัน หรือเทศน์ต่อไป ถ้าเป็นงาน
มงคลสมรส ให้คู่บ่าวสาวจุดเทียนธูปคนละชุด บูชาพระรัตนตรัย
ถ้าไม่ใช่งานสมรสให้เจ้าภาพเป็นผู้จุด เมื่อจุดเทียนธูปเสร็จแล้ว นำพานด้าย
สายสิญจน์ถวายพระเถระผู้เป็นประธาน กล่าวคำอาราธนาศีล รับศีลจบแล้ว
อาราธนาพระปริตร พระขัดสัคเค หรือชุมนุมเทวดา พอพระสงฆ์
สวดมนต์ถึงบท อะเสวะนา จะ พาลานัง เจ้าภาพพึงจุดเทียนน้ำมนต์
น้อมเข้าไปถวายพระเถระผู้เป็นประธาน ครั้นประสงฆ์สวดมนต์จวน
จะจบพึงเตรียมน้ำร้อน น้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเท่าที่จัดไว้คอยถวายท่าน
พอพระสวดมนต์จบจะได้ถวายได้ทันที
๙. การถวายภัตตาหาร
ถ้าถวายภัตตาหารพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น จะเป็นเช้าก็ตาม เพล
ก็ตาม การเตรียมเครื่องรับรองเมื่อพระสงฆ์มาถึง พึงจัดอย่างวัน
สวดมนต์เย็น เมื่อพระสงฆ์มาพร้อมแล้ว เจ้าภาพจุดเทียนธูปบูชาพระ
รัตนตรัย อาราธนาศีล รับศีลเหมือนตอนเย็น เสร็จแล้วไม่ต้อง
อาราธนาพระปริตร พระสงฆ์เริ่มสวดถวายพรพระเอง ถ้ามีการตักบาตรด้วย
เมื่อพระสงฆ์สวดมนต์ถึงบท พาหุง พึงเริ่มลงมือตักบาตร
เสร็จแล้วเตรียมไว้ให้พร้อมทั้งข้าวทั้งกับทั้งที่พระพุทธและที่พระสงฆ์
เมื่อพระสวดมนต์จบแล้ว ก็จัดถวายได้ทันที ทั้งที่พระพุทธและที่พระสงฆ์
๑๐. งานวันเดียว
ถ้าเป็นงานวันเดียว คือสวดมนต์ก่อนฉัน จะเป็นฉันเช้าก็ตาม
ฉันเพลาก็ตาม การตระเตรียมต่าง ๆ ก็คงจัดครั้งเดียว พระสงฆ์เจริญ
พระพุทธมนต์ก่อน แล้วสวดถวายพรพระตอนท้าย เจ้าภาพพึงนั่งประนมมือฟัง
เมื่อพระสงฆ์สวดมนต์ถึงบท พาหุง หรือถวายพรพระ พึงเตรียม
อาหารไว้ให้พร้อม พอพระสวดจบก็ยกประเคนได้ดังกล่าว และ
ถ้ามีศิษย์วัดมาด้วยก็ให้จัดเลี้ยงเสียในระยะนี้ เพราะจะได้เสร็จ
และเดินทางกลับพร้อมกับพระไม่ต้องเสียเวลาให้พระนั่งคอยรอ
ถ้ามีพาหนะรับส่ง ก็เตรียมไว้ให้พร้อม ตอนนี้เช่นกัน
เมื่อพระเสร็จจากอนุโมทนา แล้วจะได้จัดส่งท่าน
สุดท้ายพิธี เมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว ถวายเครื่องไทยธรรม
ต่อจากนั้นพระองค์อนุโมทนา ขณะพระว่าบท ยะถา ให้เริมกรวดน้ำ
พอพระว่าบท สัพพี พึงประนมมือรับพรไปจนจบ ถ้ามีการจะให้พระ
สงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์หรือเจิม ( โดยเจ้าภาพเตรียม แป้ง น้ำหอม หรือ
เครื่องเจิมไว้แล้ว )ก็กราบเรียนให้ท่านทราบในระยะนี้เสร็จแล้วส่งพระกลับ
การทำบุญเกี่ยวกับศพ
ซึ่งจัดว่าเป็นการทำบุญในงานอวมงคล มีกิจกรรมที่ควรตระเตรียมไว้
เป็นเบื้องต้น ส่วนใหญ่คล้ายกับทำบุญงานมงคลดังกล่าวแล้ว มีข้อแตกต่าง
กันอยู่บ้างประการเท่านั้น คือ
๑. นิมนต์พระ
การนิมนต์พระมาสวดมนต์ในงานอวมงคลนี้มีนิยมจำนวน ๘ รูป
๑๐ รูป หรือกว่านั้นขึ้นไปแล้วแต่กรณีย์ ในเรื่องอาราธนาพระสงฆ์ทำ
บุญงานอวมงคลนั้น ใช้คำอาราธนาว่า " ขออาราธนา สวด พระพุทธ-
มนต์ไม่ใช้คำอาราธนาว่า " " ขออาราธนา เจริญ พระพุทธมนต์" อย่าง
ทำบุญงานมงคล มีข้อแตกต่างกันอยู่ตรงที่ สวด กับ เจริญ เท่านั้น
เป็นเรื่องที่ควรกำหนด
๒. ไม่ตั้งขันน้ำมนต์ไม่โยงด้ายสายสิญจน์
การทำบุญในงานอย่างนี้ ไม่ต้องตั้งภาชนะสำหรับทำน้ำพระ
พุทธมนต์และไม่ต้องโยงด้ายสายสิญจน์
๓. เตรียมสายโยงหรือภูษาโยง
สายโยงนั้น คือสายสิญจน์นั่นเอง ถ้าใช้ในงานมงคลเรียกว่า
สายสิญจน์ แต่เวลาใช้กับศพเช่นนี้เรียกว่า สายโยง ถ้าเป็นแผ่นผ้า
เรียกว่าภูษาโยง ใช้โยงต่อจากศพไว้ เพื่อใช้บังสุกุล การเดินสายโยงภูษาโยงนั้น
ต้องระวังอย่างหนึ่ง คือจะโยงในที่ที่สูงกว่าพระพุทธรูปที่ตั้ง
ในพิธีไม่ได้ และจะปล่อยให้ลาดมากับพื้นที่เดินหรือนั่งก็ได้ เพราะ
สายโยงนี้เป็นสายที่โยงล่ามออกมาจากกระหม่อมศพ เป็นสิ่งเนื่องด้วย
ศพ จึงต้องล่ามหรือโยงให้สมควร
ส่วนการปฏิบัติกิจอื่น ๆ เมื่อพระมาถึงสถานที่ที่ประกอบพิธีแล้ว ก็
เหมือน ๆ กันกับงานมงคล
๔. การทอดผ้า
การทอดผ้าบังสุกุลที่ภูษาโยงหรือสายโยงนั้น มีไตร จีวร สบง
ย่าม ผ้าเช็ดหน้าผ้าเช็ดตัวเป็นต้นการทอดผ้าต้องทอดตามขวางสายโยง
หรือภูษาโยง อย่าทอดตามยาวขนานไปกับสายโยง ถ้าไม่มีผ้า พระท่าน
ก็จะจับสายโยง หรือภูษาโยงบังสุกุลเอง สายโยงหรือภูษาโยงนี้ถือกันมาก
ห้ามข้ามเป็นเด็ดขาด ถ้าข้ามถือเป็นการหมิ่นประมาทผู้ตาย ขาด
คราวะ ควรระวังให้มาก.
๕. การจับพัดจับสายโยงของพระ
ถ้าเป็นการอนุโมทนาเวลาปกติ ใช้จับพัดด้วยมือข้างขวา จับ
ด้ามพัดต่ำจากใบพัดประมาณ ๕ นิ้วมือ ใช้มือกำด้ามนิ้วทั้ง ๔ เว้น
หัวแม่มือให้ยกขึ้นแตะทาบขึ้นไปตามด้ามพัด ถ้าจับพัดเวลาชักบังสุกุล
ให้จัดพัดด้วยมือข้างซ้าย ต่ำจากใบพัดประมาณ ๕ นิ้วมือ กำด้ามด้วยนิ้วทั้ง ๔
ยกหัวแม่มือทาบขึ้นไปตามด้ามพัดเหมือนกับมือขวาดังกล่าว
แล้วใช้มือขวาจับสายโยงหรือภูษาโยง หงายมือใช้นิ้วทั้ง ๔ เว้นหัว
แม่มือสวดเข้าไปใต้ผ้าที่ชัก แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือจับบนผ้า อย่าคว่ำมือ
หรือทำอาการเพียงใช้นิ้วแตะ ๆ ที่ผ้าเป็นอันขาด ระวัง อย่าจับ
พัด จับผ้า ใช้ผิดระเบียบ ผู้รู้เขาจะแย้มสรวลเอาได้ เมื่อจับพร้อมกัน
แล้ว เริ่มว่าบทชักบังสุกุล ( อะนิจจา) พร้อมกัน จบแล้วชักผ้าออกจาก
สายโยงหรือภูษาโยง วางไว้ตรงหน้า ผ้าที่เจ้าภาพทอดนั้นถ้าเป็นผ้าที่
พอจะใส่ย่ามได้ ก็ให้ใส่ย่ามมาเวลากลับ หากเป็นผ้าที่ใส่ย่ามไม่ได้
เช่นผ้าไตร หรือไม่มีย่าม พึงถือกอดมาด้วยมือข้างซ้าย.
การประเคนของพระ
การประเคนของพระ คือ การถวายของให้พระได้รับถึงมือ ของ
ที่ประเคนนั้นต้องเป็นของที่ไม่ขัดกับพระวินัย พอคนคนเดียวยกได้
อย่างธรรมดา ๆ ไม่ใช่ของหนักหรือใหญ่โตจนเกินไป ไม่มีวัตถุอนามาสอยู่ด้วย
พึงนำของที่จะประเคนเข้าไปให้ใกล้พระผู้รับประมาณ ๑ ศอก
จะนั่งหรือยืนแล้วแต่สถานที่ที่พระนั่งอยู่นั้นจะอำนวย
จับของที่จะประเคนด้วยมือทั้งสอง ยกให้สูงขึ้นเล็กน้อย แล้ว
น้อมถวายพระซึ่งท่านจะยื่นมือทั้งสองออกรับ ถ้าผู้ประเคนเป็นหญิง
พึงวางลงบนผ้าที่พระปูรับอยู่ข้างหน้า เสร็จแล้วพึงไหว้หรือกราบหนหนึ่ง แล้วแต่กรณี
ฝ่ายพระสงฆ์
เมื่อทอดผ้ารับประเคน พึงคลี่ผ้าให้เรียบร้อยจับผ้าหงายมือ
เหมือนจับภูษาโยง ดังกล่าวแล้ว คือหงายมือใช้นิ้วทั้งสี่
เว้นหัวแม่มือสอดเข้าไปใต้ผ้าที่ทอดรับของพร้อมกันทั้งสองมือ แล้วใช้
นิ้วหัวแม่มือจับบนผ้า อย่าคว่ำมือหรือทำอาการเพียงใช้นิ้วแตะ ๆ ที่ผ้า
เป็นอันขาด
การแสดงความเคารพพระ
ปะนมมือ คือกระพุ่มมือทั้งสองประนมมีลักษณะคล้ายดอก
บัวตูมตั้งไว้ระหว่างอก เป็นการแสดงความเคารพ เวลาสวดมนต์
หรือฟังพระสวดพระเทศน์ เป็นต้น
ไหว้ คือการยกมือที่ประนมแล้วดังกล่าวขึ้น พร้อมกับก้ม
ศีรษะลงเล็กน้อย ให้มือประนมจดหน้าผาก นิ้วหัวแม่มือทั้งสองอยู่
ระหว่าวคิ้ว ใช้แสดงความเคารพในขณะนั่งเก้าอี้หรือยินอยู่
กราบ คือกราบลงกับพื้น ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ได้แก่กราบ
ด้วยองค์ทั้ง๕คือเข้าทั้งสองฝ่ามือทั้งสองหน้าผากหนึ่งใช้กราบเมื่อ
นั่งอยู่ในสถานที่ที่จะกราบได้เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง
|