วิสาขบูชา
มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้ง
มหายาน และ เถรวาท ทุก นิกาย มาช้านานแล้ว ในบางประเทศเรียกพิธีนี้ว่า "พุทธชยันตี"
( Buddha Jayanti ) เช่นใน อินเดีย และ ศรีลังกา ในปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกย่อง
ให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ประเทศอินเดีย ประเทศไทย ประเทศพม่า
ประเทศศรีลังกา สิงคโปร์ และ อินโดนีเซีย เป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากร
ที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากที่สุด) ในฝ่ายของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทในปัจจุบัน
ส่วนใหญ่ได้รับคติการปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชามาจากลังกา (ประเทศศรีลังกา)

ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่ามีการจัดพิธีวิสาขบูชามาตั้งแต่ สมัยสุโขทัย วันวิสาขบูชา
ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เพราะชาวพุทธทุกนิกายจะพร้อมใจกันจัดพิธีพุทธบูชา
ในวันนี้พร้อมกันทั่วทั้งโลก [ ๔ ] ( ซึ่งไม่เหมือน วันมาฆบูชา และ วันอาสาฬหบูชา
ที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมนับถือกันเฉพาะในประเทศไทย , ลาว , และกัมพูชา)
และด้วยเหตุนี้ ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติจึงยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น
"วันสำคัญสากล" ( International Day) ตามข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ

ที่ ๕๔ / ๑๑๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒

ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ
โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น
การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึง พระรัตนตรัย
และเหตุการณ์สำคัญ ๓ เหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันที่ "ประสูติ" ของเจ้าชายสิทธัตถะ

ผู้ซึ่งต่อมาได้ "ตรัสรู้" เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอปรไปด้วย "พระบริสุทธิคุณ" ,
" พระปัญญาคุณ" ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือ ความจริงของโลก แก่ชนทั้งปวงโดย
"พระมหากรุณาธิคุณ" จวบจนทรง "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" ในวาระสุดท้าย ทั้งสามเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องในวันเพ็ญเดือน ๖ นี้ทำให้พระพุทธศาสนาได้บังเกิดและสืบต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน

ความสำคัญ
วันวิสาขบูชาเป็นวันที่ระลึกถึงวันประสูติ ตรัสรู้  และ ปรินิพพาน ขององค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งตรงกับ วันเพ็ญ  เดือนวิสาขมาส
(เดือน ๖ ) ตรงกันทั้ง ๓ คราว คือ

เช้า วันศุกร์  ขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี
เจ้าชายสิทธัตถะ  ประสูติ ที่พระราชอุทยาน ลุมพินีวัน ระหว่างกรุง กบิลพัสดุ์ กับเทวทหะ
เช้ามืด วันพุธ  ขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี
เจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา
ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม หลังจากออกผนวชได้ ๖ปี
ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา  เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่ง รัฐพิหาร  ประเทศอินเดีย

หลังจากตรัสรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงออกประกาศ พระธรรมวินัย และโปรดเวไนยสัตว์
เป็นเวลา ๔๕ ปี เมื่อพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ก็ เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อ วันอังคาร 
ขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน  ของมัลลกษัตริย์
เมืองกุสินารา  แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมืองกุสีนคระ รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย)

เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญทั้ง ๓ เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น
เกิดขึ้นตรงกันในวันเพ็ญ เดือน ๖ ชาวพุทธจึงเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วันวิสาขบูชา"
ซึ่งแปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือนหก (บางแห่งเรียกว่า วันพระพุทธเจ้า หรือ พุทธชยันตี)


ภาพวาด ตอนประสูติ

วันประสูติ
เหตุการณ์ในวันประสูติเป็นเหตุการณ์สำคัญลำดับแรกของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น
ในวันเพ็ญ เดือนวิสาขมาส โดยพระพุทธเจ้าหรือพระนามเดิม "เจ้าชายสิทธัตถะ"
ได้ประสูติในพระบรมศากยราชวงศ์ เป็นพระราชโอรสแห่ง พระเจ้าสุทโธทนะศากยราชา  
ผู้ทรงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และ   พระนางสิริมหามายา ศากยราชเทวี  
ผู้เป็นพระราชมเหสีแห่งพระเจ้าสุทโธทนะ โดยเจ้าชายสิทธัตถะทรงดำรงตำแหน่งศากยมกุฏราชกุมาร
ผู้จักได้รับสืบพระราชบัลลังก์เป็นกษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์สืบไป

จากหลักฐานชั้นบาลี (พระไตรปิฎก) และ อรรถกถา   กล่าวว่า หลังจากพระโพธิสัตว์
ผู้ดำรงอยู่ในดุสิตเทวโลกได้บำเพ็ญพระบารมีครบถ้วนแล้ว ได้ทรงรับคำอาราธนาเพื่อจุติ
ลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์จึงได้จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต
ลงมาสู่พระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา เมื่อเวลาใกล้รุ่ง
วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๖ ปี ระกา ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี

เมื่อพระนางสิริมหามายาทรงพระครรถ์ครบถ้วนทศมาส (๑๐ เดือน) [ ๖ ]  
ในวันเพ็ญ เดือนวิสาขมาส (ตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี)
พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับไปประสูติพระราชบุตร
ยังเมืองเทวทหะอันเป็นเมืองบ้านเกิดของพระองค์ แต่ขณะเสด็จพระราชดำเนินได้เพียงกลางทาง
หรือภายในพระราชอุทยานลุมพินีวันซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะต่อกัน
พระองค์เกิดประชวรพระครรภ์จะประสูติ อำมาตย์ผู้ตามเสด็จจึงจัดร่มไม้สาละถวาย
พระนางจึงประสูติพระโอรส ณ ใต้ร่มไม้สาละนั้น โดยขณะประสูติพระนางประทับยืน
พระหัตถ์ทรงจับกิ่งสาละไว้ เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติแล้ว
(โดยอาการที่พระบาทออกจากพระครรภ์ก่อน) พระโพธิสัตว์ได้ทรงพระดำเนินไปได้ ๗ ก้าว
และได้ทรงเปล่งอาสภิวาจา (วาจาประกาศความเป็นผู้สูงสุด) ขึ้นว่า

อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส.
อยมนฺติมา ชาติ. นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว.

คำแปล  : เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก , เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก ,
เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก. ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย. บัดนี้ ภพใหม่ย่อมไม่มีดังนี้

(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี . อจฺฉริยอพฺภูตธมฺมสุตฺต   อุปริ. ม. ๑๔ / ๒๔๙ - ๒๕๑ / ๓๖๖ - ๗ - ๘ - ๙๓๗๑)

โดยการทรงเปล่งอาสภิวาจาเป็นอัศจรรย์นี้
นับเป็นบุรพนิมิตแห่งพระบรมโพธิญาณ ที่เจ้าชายน้อยผู้เป็นพระบรมโพธิสัตว์
จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลอีกไม่นาน การตรัสรู้

.
ภาพวาด ตอนเห็นเทวทูต

ตรัสรู้
เหตุการณ์การตรัสรู้พระบรมสัมมาสัมโพธิญาณของเจ้าชายสิทธัตถะนี้
เป็นเหตุการณ์สำคัญลำดับที่สองของพระพุทธเจ้าที่ได้เกิดในวันเพ็ญ เดือนวิสาขมาส
ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดของพระพุทธเจ้า
และพระพุทธศาสนา โดยถือได้ว่าเป็นการเกิดครั้งที่สองของเจ้าชายสิทธัตถะ
คือ ครั้งแรกนั้นเพียงเกิดเป็นมนุษย์ แต่การตรัสรู้นี้ถือว่าเป็นการเกิดใหม่อีกครั้ง
เป็นการเกิดที่หาได้โดยยาก เป็นการเกิดที่สมบูรณ์พร้อมด้วยอริยผล
รู้แจ้งซึ่งสรรพกิเลสทั้งปวง หลุดพ้นจากบ่วงแห่งมาร คือ ทุกข์และสุขทั้งปวงได้หมดสิ้น

เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
แปลว่า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง (ผู้ไม่ได้รับบัญชาจากใคร ผู้ไม่ได้รับโองการจากพระผู้สร้าง
หรือเทพเทวดาองค์ไหน) เป็นการ "รู้แจ้งโลกทั้งปวง"

ที่เจ้าชายสิทธัตถะในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
พึงกระทำได้ และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะ "รู้" เหมือนที่พระองค์ทรงรู้ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น จึงทำให้มีผู้เรียกพระธรรมวินัยหรือคำสั่งสอนของพระองค์ว่า "พระพุทธศาสนา"
แปลว่า "ศาสนาของผู้รู้แจ้ง - ศาสนาของผู้ (ปฏิบัติเพื่อ)หลุดพ้นจากกิเลสทั้งมวล"

เหตุการณ์การออกผนวชจากหลักฐานชั้นต้น คือ   พระไตรปิฎก  
กล่าวว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะอายุได้ ๒๙ พรรษา ได้ทรงปรารภเหตุคือ
ความแก่ เจ็บ ตาย ที่มีอยู่ทุกคนเป็นธรรมโลก ไม่มีใครจะรอดพ้นไปได้
แต่เพราะว่ามิได้ฟังคำสั่งสอนของผู้รู้ จึงทำให้มัวแต่มานั่งรังเกียจเหตุเหล่านั้นว่า
เป็นของไม่ควรคิด ไม่ควรสนใจ ทำให้คนเราทั้งหลาย
มัวมาแต่ลุ่มหลงอยู่ในกิเลสทั้งหลายเพราะความเมา ๓ ประการ

คือ เมาว่าตัวยังหนุ่มยังสาวอยู่อีกนานกว่าจะแก่ ๑
เมาว่าไม่มีโรคอยู่และโรคคงจะไม่เกิดแก่เรา ๑
เมาว่าชีวิตเป็นของยั่งยืน๑มัวแต่ใช้ชีวิตทิ้งไปวันๆกล่าวคือทรงดำริว่า

... มนุษย์ทั้งหลายมีความทุกข์เกิดขึ้นครอบงำอยู่ตลอดเวลาก็จริง
เกลียดความทุกข์อยู่ตลอดเวลาก็จริง แต่ทำไมมนุษย์ทั้งหลายยังมัวแสวงหาทุกข์ร้อน
ใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วทำไม เราต้องมามัวนั่งแสวงหาทุกข์ใส่ตัว (ให้โง่) อยู่อีกเล่า!


(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี . ปาสราสิสุตฺต โอปทฺทมวคฺค   อุปริ. ม. มู. ม. ๑๒ / ๓๑๖ / ๓๑๖)

ด้วยความคิดเช่นนี้ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะถึงกับตั้งพระทัยออกผนวชด้วยดำริว่า

เมื่อรู้ว่าการเกิดมี (ทุกข์) เป็นโทษแล้ว เราพึงแสวงหา " นิพพาน"
อันไม่มีความเกิด อันเป็นธรรมที่เกษมจากเครื่องร้อยรัด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าเถิด

(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี . ปาสราสิสุตฺต โอปทฺทมวคฺค   มู. ม. ๑๒ / ๓๑๖ / ๓๑๖)

นอกจากนี้ในสคารวสูตรมีพระพุทธพจน์ตรัสสรุปสาเหตุที่ทำให้ทรงตั้งพระทัยออกบรรพชาไว้สั้นๆว่า

ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี , ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสแสงสว่าง ;
ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว
เหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้ว , โดยง่าย นั้นไม่ได้. ถ้าไฉนเราพึงปลงผมและหนวด
ครองผ้าย้อมน้ำฝาดออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด


( สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี . สคารวสุตฺต พฺราหฺมณวคฺค   ม. มู.๑๓ / ๖๖๙ / ๗๓๘)

ด้วยเหตุดังกล่าวทั้งหลายนี้พระองค์จึงทรงตั้งพระทัยเสด็จออกผนวช
โดยการเสด็จออกผนวชตามนัยพระไตรปิฎกนั้น มิได้ทรงหนีออกจากพระราชวัง
แต่เสด็จออกผนวชต่อหน้าพระราชบิดาและพระราชมารดาเลยทีเดียว
ดังในโพธิราชกุมารสูตรราชวรรคว่า

... เรายังหนุ่มเทียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยเยาว์อันเจริญในปฐมวัย ,
เมื่อบิดามารดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังพากันร้องไห้ น้ำตานองหน้าอยู่
เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว...


(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี . โพธิราชกุมารสุตฺต ราชวคฺค   ม. มู. ๑๓ / ๔๔๓ / ๔๘๙)


ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา

แสวงหาอาจารย์
เมื่อทรงออกผนวชแล้ว พระองค์ทรงเข้าศึกษาในสำนักลัทธิต่าง ๆ
เช่น สำนักอาฬารดาบส รามบุตรและสำนักอุทกดาบส รามโคตร ได้บรรลุสมาบัติ ๘
สิ้นความรู้เจ้าสำนักทั้งสอง แต่พระองค์ยังไม่ทรงพอพระทัยเพราะสมาบัติทั้ง ๘ นั้น
ไม่สามารถทำให้พระองค์ตรัสรู้ได้ จึงทรงออกจากสำนักของอาจารย์ทั้งสอง
เสด็จไปถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เป็นสถานที่รมณียสถาน มีป่าชัฏ แม่น้ำใสสะอาด
และมีโคจรคาม (สถานที่บิณฑบาต) อยู่โดยรอบ
จึงทรงตั้งพระทัยที่จะบำเพ็ญเพียรอยู่ ณ ที่แห่งนี้

บำเพ็ญทุกกรกิริยา
ในช่วงแรกนั้น พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรทางกาย คือ "ทุกกรกิริยา
คือ การบำเพ็ญเพียรที่นักพรตผู้บำเพ็ญตบะในสมัยนั้นยกย่องว่าเป็นยอด
ของการบำเพ็ญเพียรทั้งปวง ๓ ประการ โดยในระหว่างบำเพ็ญเพียร
ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ
ผู้เป็นพราหมณ์ (โกณฑัญญะ) และบุตรแห่งพราหมณ์ (ปัญจวัคคีย์ที่เหลือ)
ที่ได้ร่วมงานทำนายลักษณะมหาบุรุษแห่งเจ้าชายสิทธัตถะ (ในคราว ๕ วันหลังจากประสูติ)
ว่า "ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช จักได้เป็นศาสดาเอกของโลก"

เมื่อท่านเหล่านั้นได้ทราบข่าวการออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ
จึงชักชวนกันออกบวชเพื่อตามหาเจ้าชาย และได้พบเจ้าชายสิทธัตถะ
ในขณะกำลังบำเพ็ญทุกกรกิริยาจึงคอยเฝ้าอยู่ปฏิบัติ ต่อมา

เมื่อพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญเพียรถึงขั้นยวดยิ่งแล้วแต่ยังไม่ตรัสรู้
พระองค์ได้ทราบอุปมาแห่งพิณ ๓ สาย ว่าการปฏิบัติเช่นนี้เป็นหนทางอันสุดโต่งเกินไป
จึงได้ละทุกกรกิริยาเสีย หันกลับมาเสวยอาหาร เหล่าปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕
จึงคิดว่าพระองค์ทรงคลายความเพียรทางกายด้วยทุกกรกิริยา ไม่มีโอกาสตรัสรู้ได้
จึงพาพวกละทิ้งพระองค์ไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี

วันตรัสรู้
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะกลับมาเสวยพระกระยาหารจนพระวรกาย
กลับมามีพระกำลังขึ้นเหมือนเดิมแล้ว จึงทรงเปลี่ยนมาเริ่มบำเพ็ญเพียรทางใจต่อไป
จนล่วงเข้าเช้าวันขึ้น ๑๕ค่ำ เดือนวิสาขมาส หลังบรรพชาได้ ๖ ปี  
นางสุชาดา ธิดานายบ้านอุรุเวลาเสนานิคม ได้นำข้าวมธุปายาสไปถวายพระองค์

ขณะประทับอยู่ ณ ต้นไทรใกล้กับบ้านของนาง ด้วยคิดว่าพระองค์เป็นเทวดา
เพราะวันนั้นพระองค์มีรัศมีผ่องใส จนเมื่อทรงรับเสวยข้าวมธุปายาสแล้ว
จึงได้ทรงนำถาดทองคำไปอธิษฐานลอยในแม่น้ำเนรัญชรา

จวบจนเวลาเย็น ได้ทรงรับถวายหญ้าคา (หญ้ากุศะ) ๘ กำมือ จากนายโสตถิยะพราหมณ์  
ทรงนำไปปูลาดเป็นโพธิบัลลังก์ ณ ใต้ต้นอัสสถะพฤกษ์ (หลังจากการตรัสรู้จึงได้ชื่อใหม่ว่า
"ต้นพระศรีมหาโพธิ์" หรือ "ต้นโพธิ์") ต้นหนึ่ง ริมฝั่งน้ำเนรัญชรา ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
หันพระปฤษฏางค์ (หลัง) ไปทางลำต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงอธิษฐานในพระทัยว่า

... หนัง เอ็น กระดูก จักไม่เหลืออยู่ เนื้อและเลือดในสรีระ จักเหือดแห้งไปก็ตามที
เมื่อยังไม่ลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ (การตรัสรู้)
ด้วยความเพียรของบุรุษ (มนุษย์) ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักหยุดความเพียรนั้นเสีย เป็นไม่มีเลย...


(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี . ปญิจมสุตฺต กมฺมกรณวคฺค   ทุก. อํ ๒๐ / ๖๔ / ๒๕๑)


ภาพวาด ตอนตรัสรู้

ผจญพญามาร
จากนั้น พญามารได้ยกพลเสนามารมาผจญ พระองค์ต้องต่อสู้ด้วยพระบารมี ๑๐ ทัศ
กล่าวในแง่ธรรมาธิษฐาน คือ ทรงต่อสู้กับกิเลสภายในใจจนทรงเอาชนะได้ด้วยพระบารมี

คือ ความลำบากในการบำเพ็ญความดีทั้งปวง อันทรงได้สั่งสมมาตลอดแต่ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์
ทรงต่อสู้จนพญามารพ่ายแพ้ไปตอนพระอาทิตย์จะตกแล้ว พระองค์จึงทรงเริ่มเจริญสมถภาวนา
ทำจิตใจให้เป็นสมาธิ   จนบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ตามลำดับ
แล้วทรงทำให้ฌานอันเป็นองค์แห่งปัญญา ๓ ประการ เกิดขึ้นในยามทั้ง ๓ คือ

ปฐมยาม ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" คือ ทรงสามารถระลึกชาติได้
มัชฌิมยาม ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ รู้การตายการเกิดของสัตว์ทั้งปวง
หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าได้ ทิพยจักษุญาณ คือ ตาทิพย์
ปัจฉิมยาม พระองค์ได้ทรงพิจารณาปฏิจสมุปบาท   คือ ธรรมที่อาศัยซึ่งกันและกัน
เกิดขึ้นเป็นเหตุเป็นผลของกันและกันต่อเนื่องเสมือนกับลูกโซ่
จนได้รู้แจ้งซึ่งอริยสัจธรรม   ๔ ประการ คือ

ทุกข์   ความทุกข์ สภาวะที่ทนได้ยาก ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ( ปัญหา)
สมุทัย   สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์   ( สาเหตุของปัญหา)
นิโรธ   ความดับไปซึ่งต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์   ( จุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหา)
มรรค   ทนทางที่จะดับทุกข์ได้   ( วิธีการแก้ปัญหา)

(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี.   มหาวาร. สํ. ๑๙/ ๕๒๘/ ๑๖๖๔)

แล้วพระองค์จึงทรงบรรลุซึ่ง "อาสวักขยญาณ" คือ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวกิเลสทั้งปวง
เมื่อนั้นจิตของพระองค์ก็หลุดพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งปวง ไม่มีความยึดถือมั่นด้วยตัณหาอุปาทาน
อันเป็นการได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์
ในยามที่ ๓ แห่งคืนวิสาขมาส ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี

ตั้งแต่นั้น พระองค์ทรงได้รับการถวายพระนามบัญญัติโดยคุณนิมิตแห่งพระองค์ว่า "อรหํ"
เป็นพระอรหันต์ผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งปวง และ "สมฺมาสมฺพุทฺโธ"  
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้ตรัสรู้ชอบได้โดยลำพังพระองค์เอง หามีผู้ใดเป็นครูอาจารย์ไม่
ต่อมา พระองค์ได้ทรงนำสิ่งที่พระองค์ทรงรู้แจ้งในวันตรัสรู้นี้มาเผยแก่หมู่ชนทั้งหลาย
พระองค์จึงทรงได้รับขนานพระนามว่า "สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า" สืบมา

วันปรินิพพาน
ทรงปลงพระชนมายุสังขาร
ปาวาลเจดีย์   เมืองเวสาลี สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงทำการปลงพระชนมายุสังขาร
พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติดำรงตนในฐานะพระบรมศาสดา เผยแผ่พระธรรมวินัย
คือ พระพุทธศาสนาแก่พหูชนชาวชมพูทวีปเป็นเวลากว่า ๔๕ ปี

ทำให้พระศาสนาตั้งหลักฐานอย่างมั่นคง ณ ชมพูทวีปกว่าพันปี
และพระพุทธศาสนาได้ขยายออกไปทั่วแผ่นดินเอเชียนับแต่นั้นมา
จวบจนพระพุทธองค์มีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา มีพระวรกายชราภาพเสมือนคนทั่วไป
พระองค์ตรัสว่า ศาสนาของพระองค์ได้ทรงตั้งมั่นแล้ว ทรงทำหน้าที่
แห่งพระพุทธเจ้าบริบูรณ์แล้ว   ในเวลาสามเดือนก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ขณะพระองค์ประทับอยู่ ณ ปาวาลเจดีย์ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี
ได้ตรัสอภิญญาเทสิตธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย
แล้วพระองค์ทรงทำการปลงพระชนมายุสังขารว่า

... ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้ เราจักเตือนท่านทั้งหลาย:
สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา... ,
ตถาคตจักปรินิพพาน โดยกาลล่วงไปแห่งสามเดือนจากนี้...

(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต   มหา. ที. ๑๐/ ๑๔๒/ ๑๐๙)

เสด็จไปเมืองกุสินารา
จากนั้น พระองค์เสด็จไปบ้านภัณฑคาม   บ้านหัตถิคาม
จนเสด็จถึงเมืองปาวา โดยลำดับ ที่นี่พระองค์ได้ประทับที่สวนมะม่วง
ของนายจุนทะ กัมมารบุตร ทรงแสดงธรรมแก่นายจุนทะ
และเสด็จไปรับบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้น พระองค์ทรงอนุญาตรับบิณฑบาต
เสวยสูกรมัททวะที่นายจุนทะจัดไว้ (ต่อจากนี้ พระองค์ประชวรด้วยโรคปักขันธิกาพาธ
อย่างกล้าจวบจนสิ้นพระชนมายุ)   จากนั้น ได้เสด็จไปสู่เมืองกุสินารา

ในกลางทางทรงพักที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง รับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดสังฆาฏิ
เพื่อเสวยน้ำดื่มและทรงสนทนากับปุกกุสสะ มัลละบุตร จนเกิดศรัทธา
ถวายผ้าเนื้อดีสองผืน ทรงรับสั่งให้นำมาห่มคลุมพระองค์ผืนหนึ่ง อีกผืนหนึ่ง
รับสั่งให้ถวายแก่พระอานนท์ เมื่อปุกกุสสะถวายผ้านั้นแล้วหลีกไป
พระอานนท์ได้น้อมถวายผ้าของตนแก่พระพุทธเจ้า ได้เห็นพระวรกายของพระองค์ว่า
มีพระฉวีผ่องใสยิ่งจึงได้ทูลถาม พระองค์ตรัสตอบว่า

... อานนท์! เป็นอย่างนั้น , กายของตถาคต ย่อมมีฉวีผุดผ่องในกาลสองครั้งคือ
ในราตรีที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ , และราตรี ที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
อานนท์! การปรินิพพานของตถาคตจักมีในระหว่างต้นสาละคู่ ในสวนสาละอันเป็นที่พัก
ของพวกมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา ในตอนปัจฉิมยามคืนนี้...

(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี
. มหาปรินิพฺพานสุตฺต   มหา. ที. ๑๐ / ๑๔๙ / ๑๑๗ )

ประทับสีหไสยาสน์
เมื่อเสด็จถึงพระราชอุทยานของมัลลกษัตริย์
พระองค์ทรงให้พระอานนท์จัดที่บรรทมระหว่างต้นสาละคู่
ขณะทรงประทับสีหเสยยาสน์หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ
ได้เกิดอัศจรรย์ คือ ดอกาละผลิดอกผิดฤดูกาลโปรยลงบนพระสรีระ
ดอกมณฑารพ จุรณ์ไม้จันทร์ ตกลงและดนตรีทิพย์บรรเลงขึ้น
เพื่อบูชาแก่พระพุทธเจ้า เทวดาทั่วโลกธาตุได้มาประชุมกันเพื่อเห็นพระพุทธเจ้า
บางองค์คร่ำครวญเสียใจด้วยอาการต่าง ๆ

ประทานพระปัจฉิมโอวาท
จากนั้น พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกมัลละกษัตริย์เข้าเฝ้า
และได้ตรัสแก้ปัญหาของสุภัททะปริพาชก จนเกิดศรัทธาขอบรรพชา
ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเป็นพระสาวกองค์สุดท้ายในบรรดาสาวกที่ทันเห็นพระพุทธองค์
แล้วตรัสให้พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เป็นผู้สืบศาสดาไว้ว่า

... อานนท์! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นองค์ศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลั
บไปแล้ว...

(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต   มหา. ที. ๑๐/ ๑๔๙/ ๑๑๗ )

จากนั้นตรัสพระโอวาทที่สำคัญ ๆ อีก ๔-๕ เรื่อง
จนในที่สุดตรัสพระปัจฉิมโอวาทเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่า

... หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ...
แปลว่า  : ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้ เราจักเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า
"สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา. พวกเธอทั้งหลาย
จงยังประโยชน์ตนและท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด"


(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี . มหาปรินิพฺพานสุตฺต   มหา. ที. ๑๐ / ๑๔๙ / ๑๑๗)

ปรินิพพาน
จากนั้น พระองค์ทรงนิ่งเงียบ หลับตา   ทรงเข้าอนุปุพพวิหารสมาบัติ   ๙ มีรูปฌาน ๔
คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน จากนั้นเป็นอรูปฌาน ๔ คือ
อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
(เรียกรวมเป็น   สมาบัติ ๘) และ   นิโรธสมาบัติ   ๑ ชื่อเต็มคือสัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วย้อนลงมาตามลำดับจนถึงปฐมฌาน
แล้วย้อนขึ้นอีกเป็น ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานเป็นปัจฉิมสมาบัติ

เมื่อออกจากจตุตถฌานจึง   เสด็จดับขันธปรินิพพานพระพุทธองค์ตรัสถึงความดับสมุทัย
อันเป็นเหตุแห่งความดับทุกข์ (เสด็จดับขันธปรินิพพาน) ไว้เมื่อคราวทรงพระชนม์อยู่ว่า

... ต้นไม้ เมื่อโคนต้นยังอยู่ ไม่มีอุปัทวะ แม้ถูกตัด (ส่วนบน)
แล้วก็งอกได้อีกอยู่นั่น ฉันใดก็ดี แม้ทุกข์นี้ก็ฉันนั้น
เมื่อตัณหานุสัยยังมิได้ถูกถอนทิ้งแล้ว ก็ได้เกิดร่ำไป...


(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี .   ขุ. ธ. ๒๕ / ๓๓๘ / ๑๓๘ )

กล่าวคือ พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานเพราะความดับไปแห่งสมุทัย
คือ ได้ทรงถอนเสียสิ้นซึ่งต้นและราก   กิเลสตัณหาอันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงนี้แล้ว
เมื่อในวันตรัสรู้   การเสด็จดับขันธปรินิพพานนี้จึงเป็นการตายครั้งสุดท้ายของพระพุทธองค์
โดย "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ" (สิ้นตัณหาเมื่อคราวตรัสรู้ และสิ้นขันธ์ห้า เมื่อคราวปรินิพพาน)

เมื่อนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ โลมชาติลุกขึ้นชูชัน กลองทิพย์บรรลือลั่นไปในอากาศ
ไว้อาลัยแด่การจากไปของพระพุทธองค์ ผู้ทรงเป็นบรมครูของโลก กายของพระองค์สิ้นเชื้อคือตัณหา
ที่จะนำไปเกิดในภพใหม่ ครั้นกายแตกดับแล้ว ถึงความเป็นของว่าง ไม่มีอะไรเหลือ
สำหรับส่วนผสมของกายในภพต่อไป พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในปัจฉิมราตรี
วันขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี ตามการนับของไทย  
(หากเป็นกัมพูชาหรือพม่า   จะนับเป็น พ.ศ. ๑ ทันที ดูเพิ่มที่   พุทธศักราช)

ขอบคุณข้อมูลจาก :  dhammathai.org, วิกิพีเดีย


วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา วันอาสาฬหบูชา
วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันธรรมสวนะ บุญกฐิน