วันเข้าพรรษา
วันเข้าพรรษา
วันเข้าพรรษา ( บาลี: วสฺส , สันสกฤต: วรฺษ ,
อังกฤษ: Vassa, เขมร: វស្សា , พม่า: )
เป็น วันสำคัญในพุทธศาสนา วันหนึ่ง ที่ พระสงฆ์ เถรวาท
จะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา ๓ เดือน
ตามที่ พระธรรมวินัย บัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น
หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา
(" พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน , " จำ" แปลว่า พักอยู่)
พิธีเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง
ละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม การเข้าพรรษาตามปกติ
เริ่มนับตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ของทุกปี
(หรือเดือน ๘ หลัง ถ้ามีเดือน ๘ สองหน)
และสิ้นสุดลงในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือ วันออกพรรษา
วันเข้าพรรษา (วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ) หรือเทศกาลเข้าพรรษา
(วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ )
ถือได้ว่าเป็นวันและช่วงเทศกาลทาง พระพุทธศาสนา ที่สำคัญเทศกาลหนึ่ง
ใน ประเทศไทย โดยมีระยะเวลาประมาณ ๓ เดือนในช่วง ฤดูฝน
ภาพวาด ออกบิณฑบาตร (พม่า) |
โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ที่ต่อเนื่อง มาจาก วันอาสาฬหบูชา ( วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ) ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาว ไทย
ทั้ง พระมหากษัตริย์ และคนทั่วไป ได้สืบทอดประเพณีปฏิบัติการทำบุญในวันเข้าพรรษามาช้านานแล้ว
ตั้งแต่ สมัยสุโขทัย สาเหตุที่ พระพุทธเจ้า ทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง
ตลอด ๓ เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนา
ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหาย
จากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้านที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด ๓ เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่
จำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระ ธรรม วินัย จากพระสงฆ์
ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย
ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดทั้ง ๓ เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดี
ที่จะบำเพ็ญกุศลด้วยการเข้าวัดทำบุญ ใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งสิ่งที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ
คือ มีการถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา และผ้าอาบน้ำฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ด้วย
เพื่อสำหรับให้พระสงฆ์ได้ใช้สำหรับการอยู่จำพรรษา โดยในอดีต ชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชน
เมื่ออายุครบบวช (๒๐ ปี) จะนิยมถือ บรรพชา อุปสมบท เป็นพระสงฆ์เพื่ออยู่จำพรรษาตลอดฤดูพรรษากาล
ทั้ง ๓ เดือน โดยพุทธศาสนิกชนไทยจะเรียกการบรรพชาอุปสมบทเพื่อจำพรรษาตลอดพรรษากาล
ว่า "บวชเอาพรรษา" นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐบาล ไทย ได้ประกาศให้วันเข้าพรรษา
เป็น "วันงดดื่มสุราแห่งชาติ" โดยในปีถัดมา ยังได้ประกาศให้วันเข้าพรรษา เป็นวันห้ามขายเครื่องดื่ม
แอลกอฮอล์ ทั่วราชอาณาจักร ทั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้ชาวไทยตั้งสัจจะอธิษฐานงดการดื่มสุรา
ในวันเข้าพรรษาและในช่วง ๓ เดือนระหว่างฤดูเข้าพรรษา เพื่อส่งเสริมค่านิยมที่ดีให้แก่สังคมไทย
สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ นี้ วันเข้าพรรษาตรงกับ วันอังคาร ที่ ๒๓ กรกฎาคม ตามปฏิทินสุริยคติ
ภาพพระสงฆ์เดินธุดงค์
|
ความสำคัญและประโยชน์ของการเข้าพรรษา
๑.ช่วงเข้าพรรษานั้นเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่นา
ดังนั้นการกำหนดให้ ภิกษุ สงฆ์หยุดการเดินทางจาริกไปในสถานที่ต่างๆ
ก็จะช่วยให้พันธุ์พืชของต้นกล้า หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย
ไม่ได้รับความเสียหายจากการเดินธุดงค์
๒.หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามา
เป็นเวลา ๘ - ๙ เดือน ช่วงเข้าพรรษา
เป็นช่วงที่ให้พระภิกษุสงฆ์ได้หยุดพักผ่อน
๓.เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติ ปฏิบัติธรรม สำหรับตนเอง
และศึกษาเล่าเรียน พระธรรมวินัย ตลอดจน
เตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเมื่อถึง วันออกพรรษา
๔.เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนและบวชให้กับ กุลบุตร
ผู้มีอายุครบบวช อันเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ต่อไป
๕.เพื่อให้ พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ
เช่น การทำบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน
รักษาศีล เจริญภาวนา ถวาย จตุปัจจัย ไทยธรรม งดเว้น อบายมุข
และมีโอกาสได้ฟัง พระธรรมเทศนา ตลอดเวลาเข้าพรรษา
มูลเหตุที่พระพุทธเจ้าอนุญาตการจำพรรษาแก่พระสงฆ์
ในสมัยต้น พุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงวางระเบียบเรื่องการเข้าพรรษาไว้ แต่การเข้าพรรษานั้น
เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวกปฏิบัติกันมาโดยปกติเนื่องด้วยพุทธจริยาวัตร
ในอันที่จะไม่ออกไปจาริกตามสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงฤดูฝนอยู่แล้ว เพราะการคมนาคมมีความลำบาก
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์ในช่วงต้นพุทธกาลมีจำนวนน้อยและส่วนใหญ่เป็นพระอริยะบุคคล
จึงทราบดีว่าสิ่งใดที่พระสงฆ์ควรหรือไม่ควรกระทำ
ต่อมาเมื่อมีพระสงฆ์มากขึ้น และด้วยพระพุทธจริยาที่ พระพุทธเจ้า จะไม่ทรงบัญญัติพระวินัยล่วงหน้า
ทำให้พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ทรงบัญญัติเรื่องให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษาไว้ด้วย
จึงเกิดเหตุการณ์กลุ่มพระสงฆ์ ฉัพพัคคีย์ พากันออกเดินทางเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ในที่ต่าง ๆ
โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ทำให้ชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวก พระสงฆ์
ในพระพุทธศาสนาไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน
ในขณะที่ นักบวช ใน ศาสนา อื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่ พระภิกษุสงฆ์ จาริก ไปในที่ต่างๆ
แม้ในฤดูฝน อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อย
ที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย เมื่อ พระพุทธเจ้า ทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ ภิกษุ
ประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เป็นเวลา ๓ เดือนดังกล่าว
ภาพพระสงฆ์เดินธุดงค์
|
การเข้าพรรษาของพระสงฆ์ตามพระวินัยปิฎก
ตามพระวินัย พระสงฆ์รูปใดไม่เข้าจำพรรษาอยู่
ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงปรับอาบัติ
แก่พระสงฆ์รูปนั้นด้วยอาบัติทุกกฎ และ พระสงฆ์ ที่อธิษฐาน
รับคำเข้า จำพรรษา แล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้
แต่ถ้าหากเดินทางออกไปแล้วและไม่สามารถกลับมา
ในเวลาที่กำหนด คือ ก่อนรุ่งสว่างก็จะถือว่าพระ ภิกษุ รูปนั้น
" ขาดพรรษา" และต้องอาบัติทุกกฎเพราะรับคำนั้น
รวมทั้งพระสงฆ์รูปนั้นจะไม่ได้รับอานิสงส์พรรษา
ไม่ได้อานิสงส์กฐินตามพระวินัย และทั้งยังห้ามไม่ให้
นับพรรษาที่ขาดนั้นอีกด้วย
ประเภทของการเข้าพรรษาของพระสงฆ์
การเข้าพรรษาตามพระวินัยแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ
๑.ปุริมพรรษา ( เขียนอีกอย่างว่า บุริมพรรษา )
คือ การเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘
( สำหรับปี อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน จะเริ่มในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง)
จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ หลังจากออกพรรษาแล้ว พระที่อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือน
ก็มีสิทธิที่จะรับ กฐิน ซึ่งมีช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
๒.ปัจฉิมพรรษา คือ การเข้าพรรษาหลัง ใช้ในกรณีที่พระภิกษุต้องเดินทางไกลหรือมีเหตุสุดวิสัย
ทำให้กลับมาเข้าพรรษาแรกในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไม่ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙
แล้วจะไปออกพรรษาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี
ดังนั้นพระภิกษุที่เข้าปัจฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสได้รับกฐิน แต่ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกับพระที่เข้าปุริมพรรษาเหมือนกัน
ข้อยกเว้นการจำพรรษาของพระสงฆ์
แม้การเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุโดยตรง ที่จะละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม
แต่ว่าในการจำพรรษาของพระสงฆ์ในระหว่างพรรษานั้น อาจมีกรณีจำเป็นบางอย่าง
ทำให้พระ ภิกษุ ผู้ จำพรรษา ต้องออกจากสถานที่จำพรรษาเพื่อไปค้างที่อื่น
พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษาโดยมีเหตุจำเป็นเฉพาะกรณี ๆ ไป
ตามที่ทรงระบุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการพระศาสนาหรือการอุปัฏฐานบิดามารดา
แต่ทั้งนี้ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน ๗ วัน การออกนอกที่จำพรรษาล่วงวันเช่นนี้
เรียกว่า "สัตตาหกรณียะ " ซึ่งเหตุที่ทรงระบุว่าจะออกจากที่จำพรรษาไปได้ชั่วคราวนั้นเช่น
๑.การไปรักษาพยาบาล หาอาหารให้ ภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย เป็นต้น
กรณีนี้ทำได้กับ สหธรรมิก ๕ และมารดาบิดา
๒.การไประงับ ภิกษุ สามเณร ที่อยากจะสึกมิให้สึกได้ กรณีนี้ทำได้กับ สหธรรมิก ๕
๓.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อม กุฏิ ที่ชำรุด
หรือ การไป ทำสังฆกรรม เช่น สวด ญัตติจตุตถกรรมวาจา ให้พระผู้ต้องการอยู่ ปริวาส เป็นต้น
๔.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปให้ทายกได้ให้ทาน รับศีล ฟังเทสนาธรรมได้
กรณีนี้หากโยมไม่มานิมนต์ ก็จะไปค้างไม่ได้.
ซึ่งหากพระสงฆ์ออกจากอาวาสแม้โดยสัตตาหกรณียะล่วงกำหนด ๗ วันตามพระวินัย
ก็ถือว่า ขาดพรรษา และเป็นอาบัติทุกกฎเพราะรับคำ (รับคำอธิษฐานเข้าพรรษาแต่ทำไม่ได้)
ในกรณีที่พระสงฆ์สัตตาหกรณียะและกลับมาตามกำหนดแล้ว ไม่ถือว่าเป็นอาบัติ
และสามารถกลับมาจำพรรษาต่อเนื่องไปได้ และหากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกจากที่จำพรรษา
ไปได้ตามวินัยอีก ก็สามารถทำได้โดยสัตตาหกรณียะ แต่ต้องกลับมาภายในเจ็ดวัน
เพื่อไม่ให้พรรษาขาดและไม่เป็นอาบัติทุกกฎดังกล่าวแล้ว
อานิสงส์การจำพรรษาของพระสงฆ์ที่จำครบพรรษา
เมื่อพระสงฆ์จำพรรษาครบไตรมาสได้ปวารณาออกพรรษา
และได้กรานกฐินแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ หรือข้อยกเว้นพระวินัย ๕ ข้อ คือ
๑.เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา
(ออกจากวัดไปโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งเจ้าอาวาสหรือพระสงฆ์รูปอื่นก่อนได้)
๒.เที่ยวไปไม่ต้องถือไตรจีวรครบสำรับ ๓ ผืน
๓.ฉันคณะโภชน์ได้ (ล้อมวงฉันได้)
๔.เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
(ยกเว้นสิกขาบทข้อนิสสัคคิยปาจิตตีย์บางข้อ)
๕.จีวรลาภอันเกิดในที่นั้นเป็นของภิกษุ
(เมื่อมีผู้มาถวายจีวรเกินกว่าไตรครองสามารถเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องสละเข้ากองกลาง)
การถือปฏิบัติการเข้าพรรษาของพระสงฆ์ไทยในปัจจุบัน
การเข้าพรรษานั้นปรากฏในพระไตรปิฎกเถรวาท ซึ่งพระสงฆ์ในนิกายเถรวาททุกประเทศ
จะถือการปฏิบัติการเข้าจำพรรษาเหมือนกัน (แต่อาจมีความแตกต่างกันบ้างในการให้ความสำคัญ
และรายละเอียดประเพณีปฏิบัติของแต่ละท้องถิ่น)
การเตรียมตัวเข้าจำพรรษาของพระสงฆ์ในปัจจุบัน
การเข้าจำพรรษาคือการตั้งใจเพื่ออยู่จำ ณ อาวาส ใดอาวาสหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง
เป็นประจำตลอดพรรษา ๓ เดือนดังนั้นก่อนเข้าจำพรรษาพระสงฆ์ในวัดจะเตรียมตัว
โดยการซ่อมแซมเสนาสนะปัดกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อยก่อนถึงวันเข้าพรรษา
เมื่อถึงวันเข้าพรรษา ส่วนใหญ่ พระสงฆ์ จะลงประกอบพิธีอธิษฐานจำพรรษา
หลัง สวดมนต์ทำวัตรเย็น เป็นพิธีเฉพาะของพระสงฆ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะลงประกอบพิธี ณ อุโบสถ
หรือสถานที่ใดตามแต่จะสมควรภายในอาวาสที่จะจำพรรษา โดยเมื่อทำวัตรเย็นประจำวันเสร็จแล้ว
เจ้าอาวาส จะประกาศเรื่อง วัสสูปนายิกา คือการกำหนดบอกให้ให้พระสงฆ์ทั้งปวง
รู้ถึงข้อกำหนดในการเข้าพรรษา โดยมีสาระสำคัญดังนี้
๑.แจ้งให้ทราบเรื่องการเข้าจำพรรษาแก่พระสงฆ์ในอาราม
๒.แสดงความเป็นมาและเนื้อหาของวัสสูปนายิกาตามพระวินัยปิฏก
๓.กำหนดบอกอาณาเขตของวัด ที่พระสงฆ์จะรักษาอรุณ หรือรักษาพรรษาให้ชัดเจน
(รักษาอรุณคือต้องอยู่ในอาวาสที่กำหนดก่อนอรุณขึ้น จึงจะไม่ขาดพรรษา)
๔.หากมีภิกษุผู้เป็นเสนาสนคาหาปกะ ก็ทำการสมมุติเสนาสนคาหาปกะ (เจ้าหน้าที่สงฆ์)
เพื่อให้เป็นผู้กำหนดให้พระสงฆ์รูปใดจำพรรษา ณ สถานที่ใดในวัด
เมื่อแจ้งเรื่องดังกล่าวเสร็จแล้ว อาจจะมีการทำสามีจิกรรม คือกล่าวขอขมาโทษซึ่งกันและกัน
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างพระเถระและพระผู้น้อย
และเป็นการสร้างสามัคคีกันในหมู่คณะด้วย
จากนั้นจึงทำการอธิษฐานพรรษา เป็นพิธีกรรมที่สำคัญที่สุด โดยการเปล่งวาจาว่าจะอยู่จำพรรษา
ตลอดไตรมาส โดยพระสงฆ์สามเณรทั้งอารามกราบพระประธาน ๓ ครั้งแล้ว
เจ้าอาวาสจะนำตั้งนโม ๓ จบ และนำเปล่งคำอธิษฐานพรรษาพร้อมกันเป็นภาษาบาลีว่า
อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เ ตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ
( ถ้ากล่าวหลายคนใช้: อุเปม)
หลังจากนี้ ในแต่ละวัดจะมีข้อปฏิบัติแตกต่างกันไป บางวัดอาจจะมีการเจริญพระพุทธมนต์ต่อ
และเมื่อเสร็จแล้วอาจจะมีการสักการะสถูปเจดีย์ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ภายในวัดอีกตามแต่จะเห็นสมควร
เมื่อพระสงฆ์สามเณรกลับเสนาสนะของตนแล้ว อาจจะอธิษฐานพรรษาซ้ำอีกเฉพาะเสนาสนะของตนก็ได้
โดยกล่าววาจาอธิษฐานเป็นภาษาบาลีว่า
อิมสฺมึ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ
( ถ้ากล่าวหลายคนใช้: อุเปม)
เป็นอันเสร็จพิธีอธิษฐานเข้าจำพรรษาสำหรับพระสงฆ์
และพระสงฆ์จะต้องรักษาอรุณไม่ให้ขาดตลอด ๓ เดือนนับจากนี้ โดยจะต้องรักษาผ้าไตรจีวร
ตลอดพรรษากาล คือ ต้องอยู่กับผ้าครองจนกว่าจะรุ่งอรุณด้วย
ภาพวาด การทำบุญภาคอีสาน |
การศึกษาพระธรรมวินัยของพระสงฆ์ในระหว่างพรรษาในปัจจุบัน
ในอดีต การเข้าพรรษามีประโยชน์แก่พระสงฆ์ในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย
โดยการที่พระสงฆ์จากที่ต่าง ๆ มาอยู่จำพรรษารวมกันในที่ใดที่หนึ่ง
พระสงฆ์เหล่านั้นก็จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และถ่ายองค์ความรู้ตามพระธรรมวินัยให้แก่กัน
มาในปัจจุบัน การศึกษาพระธรรมวินัยในช่วงเข้าพรรษาในประเทศไทยก็ยังจัดเป็นกิจสำคัญของพระสงฆ์
โดยพระสงฆ์ที่อุปสมบททุกรูป แม้จะอุปสมบทเพียงเพื่อชั่วเข้าพรรษาสามเดือน
ก็จะต้องศึกษาพระธรรมวินัยเพิ่มเติม ปัจจุบันพระธรรมวินัยถูกจัดเป็นหลักสูตรของคณะสงฆ์
ในหลักสูตร พระธรรม จะเรียกว่า ธรรมวิภาค พระวินัย เรียกว่า วินัยมุข รวมเรียกว่า "นักธรรม" ชั้นต่าง ๆ
โดยจะมีการสอบไล่ความรู้พระปริยัติธรรมในช่วงออกพรรษา เรียกว่า การสอบธรรมสนามหลวง
ในช่วงวันขึ้น ๙ - ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ( จัดสอบนักธรรมชั้นตรีสำหรับพระภิกษุสามเณร)
และช่วงวันแรม ๒ - ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ( จัดสอบนักธรรมชั้นโทและ เอก สำหรับพระภิกษุสามเณร)
ปัจจุบันการศึกษาเฉพาะในชั้นนักธรรมตรีสำหรับพระนวกะ หรือพระบวชใหม่
จะจัดสอบในช่วงปลายฤดูเข้าพรรษา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่จะลาสิกขาบทหลังออกพรรษา
จะได้ตั้งใจเรียนพระธรรมวินัยเพื่อสอบไล่ให้ได้นักธรรมในชั้นนี้ด้วย
ภาพวาด การทำบุญภาคอีสาน |
ประเพณีเนื่องด้วยการเข้าพรรษาในประเทศไทย
ในประเทศไทยมีประเพณีมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าจำพรรษาของพระสงฆ์ไทยมาช้านาน
ดังปรากฏประเพณีมากมายที่เกี่ยวกับการเข้าจำพรรษา เช่น ประเพณีถวายเทียนพรรษา
แก่พระสงฆ์เพื่อจุดบูชาตามอารามและเพื่อถวายให้พระสงฆ์สามเณรนำไปจุดเพื่ออ่านคัมภีร์
ทางพระพุทธศาสนาในระหว่างเข้าจำพรรษา ประเพณีการถวายผ้าอาบน้ำฝน หรือผ้าวัสสิกสาฏก
แก่พระสงฆ์ก่อนเข้าพรรษา เพื่อให้พระสงฆ์นำไปใช้สรงน้ำฝนในพรรษา
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่พุทธศาสนิกชนไทยถือว่าเป็นงานบุญใหญ่ประจำปีคือ
ประเพณีถวายผ้ากฐิน ที่จัดหลังพระสงฆ์ปวารณาออกพรรษา เพื่อถวายผ้ากฐินแก่พระสงฆ์
ที่จำครบพรรษาจะได้กรานและได้รับอานิสงส์กฐิน เป็นต้น
มีประเพณีหนึ่งที่เนื่องด้วยวันเข้าพรรษาและจัดเป็นประเพณีที่สำคัญและสืบทอดกันเรื่อยมา
ก็คือ ประเพณีหล่อเทียนพรรษา สำหรับให้พระภิกษุและพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ได้จุดบูชา พระประธาน ในโบสถ์ซึ่งเทียนพรรษาสามารถอยู่ได้ตลอด ๓ เดือน
และเป็นกุศลทานอย่างหนึ่งในการให้ทานด้วยแสงสว่าง ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนามาเป็นงานประเพณี
"ประกวดเทียนพรรษา" ของแต่ละจังหวัดโดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ
การถวายเทียนเพื่อจุดตามประทีปเป็นพุทธบูชานั้น มาจากอานิสงส์การถวายเทียนเพื่อจุดเป็นพุทธบูชา
ที่ปรากฏความในพระไตรปิฎก และในคัมภีร์อรรถกถา ว่าพระอนุรุทธะเถระ
เคยถวายเทียนบูชาทำให้ได้รับอานิสงส์มากมาย รวมถึงได้เป็นผู้มีจักษุทิพย์ (ตาทิพย์) ด้วย
ด้วยการพรรณาอานิสงส์ดังกล่าว อาจทำให้ชาวพุทธนิยมจุดประทีปเป็นพุทธบูชามานานแล้ว
แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าการทำเทียนพรรษาในประเทศไทยถวายเริ่มมีมาแต่สมัยใด
แต่ปรากฏความในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่พรรณนาการบำเพ็ญกุศลในช่วงเข้าพรรษาว่า
มีการถวายเทียนพรรษาด้วยในประเทศไทย การถวายเทียนเข้าพรรษาจัดเป็นพิธีใหญ่
มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในสมัยรัตนโกสินทร์การถวายเทียนเข้าพรรษาถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญ
โดยจะเรียกว่าพุ่มเทียน มีการพระราชทานถวายพุ่มเทียนรวมพึงโคมเพื่อจุดบูชาตามอารามต่าง ๆ
ทั้งในพระนครและหัวเมือง ซึ่งพิธีนี้ยังคงมีมาจนปัจจุบัน
ภาพวาด การทำบุญภาคอีสาน |
|
การถวายเทียนพรรษาโดยแกะสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ นั้น มีมาแต่โบราณ เดิมเป็นประเพณีราชสำนัก
ดังที่ปรากฏในเทียนรุ่งเทียนหลวงตามพระอารามต่าง ๆ สำหรับเทียนแกะสลักที่ปรากฏว่า
มีการจัดทำประกวดกันเป็นเรื่องราวใหญ่โตในปัจจุบันนั้น พึ่งเริ่มมีเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓
ใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยนายโพธิ์ ส่งศรี ได้เริ่มทำแม่พิมพ์ปูนซีเมนต์เพื่อหล่อขี้ผึ้งเป็นทำลวดลายไทย
ไปประดับติดพิมพ์บนเทียนพรรษา นับเป็นการจัดทำเทียนพรรษาแกะสลักของช่างราษฏร์เป็นครั้งแรก
และนายสวน คูณผล ได้ทำลวดลายนูนสลับสีต่าง ๆ เข้าประกวดจนชนะเลิศ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๗
จึงเริ่มมีการทำเทียนพรรษาติดพิมพ์ประกวดแบบพิสดารโดยนายประดับ ก้อนแก้ว
คือทำเป็นรูปพุทธประวัติติดพิมพ์จนได้รับรางวัลชนะเลิศติดต่อกันมาหลายปี จนปี พ.ศ. ๒๕๐๒
นายคำหมา แสงงาม ช่างแกะสลัก ได้ทำเทียนพรรษาแบบแกะสลักมาประกวดเป็นครั้งแรก
จนได้รับรางวัลชนะเลิศ จากนั้นจึงได้มีการแยกประเภทการประกวดต้นเทียนเป็นสองแบบคือ
ประเภทติดพิมพ์ และประเภทแกะสลัก จนในช่วงหลังปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นายอุตสาห์
และนายสมัย แสงวิจิตร ได้เริ่มมีการจัดทำเทียนพรรษาขนาดใหญ่โต ทำเป็นหุ่นและเรื่องราวต่าง ๆ
ซึ่งเป็นลักษณะของเทียนพรรษาขนาดใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบัน
ในอดีต การหล่อเทียนเข้าพรรษาถือเป็นพิธีสำคัญที่ชาวพุทธจะมารวมตัวกันนำขี้ผึ้งมาหลอมรวม
เป็นแท่งเทียนเพื่อถวายแก่พระสงฆ์ แต่ในปัจจุบันชาวพุทธส่วนใหญ่จะนิยมการซื้อหาเทียนพรรษา
จากร้านสังฆภัณฑ์ โดยบางส่วนมีการปรับเปลี่ยนไปซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างถวายแก่พระสงฆ์แทนด้วย
ซึ่งนับเป็นการปรับเปลี่ยนที่ได้ประโยชน์แก่พระสงฆ์โดยตรง เพราะปัจจุบันไม่ได้มีการนำเทียน
มาจุดเพื่ออ่านหนังสืออีกแล้ว พระสงฆ์คงนำเทียนไปจุดบูชาตามอุโบสถวิหารเท่านั้น
ภาพวาด นางวิสาขาถวายผ้าอาบน้ำฝน
|
ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน (ก่อนเข้าพรรษา)
ผ้าอาบน้ำฝน หรือ ผ้าวัสสิกสาฏก คือผ้าเปลี่ยนสำหรับสรงน้ำฝนของพระสงฆ์
เป็นผ้าลักษณะเดียวกับ ผ้าสบง โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระภิกษุตามพุทธานุญาตที่ให้มีประจำตัวนั้น
มีเพียง อัฏฐบริขาร ซึ่งได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน
แต่ช่วงหน้าฝนของการจำพรรษาในสมัยก่อนนั้น พระสงฆ์ที่มีเพียงสบงผืนเดียวจะอาบน้ำฝน
จำเป็นต้องเปลือยกาย ทำให้ดูไม่งามและเหมือนนักบวชนอกศาสนา
นางวิสาขามหาอุบาสิกา จึงคิดถวาย " ผ้าวัสสิกสาฏก" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ผ้าอาบน้ำฝน
เพื่อให้พระสงฆ์ได้ผลัดเปลี่ยนกับผ้าสบงปกติ จนเป็นประเพณีทำบุญสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
โดยปรากฏสาเหตุความเป็นมาของการถวายผ้าอาบน้ำฝนใน พระไตรปิฎก ดังนี้ครั้งหนึ่งสมัยพุทธกาล
พระศาสดาประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร นางวิสาขาได้มาฟังธรรม
แล้วทูลอาราธนาพระศาสดาและหมู่สงฆ์ไปฉันที่บ้านของนางในวันรุ่งขึ้น เช้าวันนั้น เกิดฝนตกครั้งใหญ่
ตกในทวีปทั้ง ๔ พระศาสดาจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายสรงสนานกาย พระสงฆ์ทั้งหลายที่ไม่มีผ้าอาบน้ำฝน
จึงออกมาสรงน้ำฝนโดยร่างเปลือยกายอยู่ พอดีกับนางวิสาขามหาอุบสิกาสั่งให้นางทาสีไปนิมนต์ภิกษุ
มารับภัตตาหารที่บ้านของตน เมื่อนางทาสีไปถึงที่วัดเห็นภิกษุเปลื้องผ้าสรงสนานกาย ก็เข้าใจว่า
ในอารามมีแต่พวกชีเปลือย (อาชีวกนอกพระพุทธศาสนา) ไม่มีภิกษุอยู่จึงกลับบ้าน
ส่วนนางวิสาขานั้นเป็นสตรีที่ฉลาดรู้แจ้งในเหตุการณ์ทั้งปวง เมื่อถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุขในวันนั้นแล้ว จึงได้โอกาสอันควรทูลขอพร ๘ ประการต่อพระศาสดา
พระศาสดาทรงอนุญาตพร ๘ ประการคือ
๑.ขอถวายผ้าวัสสิกสาฎก (ผ้าอาบน้ำ) แก่พระสงฆ์เพื่อปกปิดความเปลือยกาย
๒.ขอถวายภัตแต่พระอาคันตุกะ เนื่องจากพระอาคันตุกะไม่ชำนาญหนทาง
๓.ขอถวายคมิกภัตแก่พระผู้เตรียมตัวเดินทาง เพื่อจะได้ไม่พลัดจากหมู่เกวียน
๔.ขอถวายคิลานภัตแก่พระอาพาธ เพื่อไม่ให้อาการอาพาธกำเริบ
๕.ขอถวายภัตแก่พระผู้พยาบาลพระอาพาธ เพื่อให้ท่านนำคิลานภัตไปถวายพระอาพาธได้ตามเวลา
และพระผู้พยาบาลจะได้ไม่อดอาหาร
๖.ขอถวายคิลานเภสัชแก่พระอาพาธ เพื่อให้อาการอาพาธทุเลาลง
๗.ขอถวายยาคูเป็นประจำแก่สงฆ์
๘.ขอถวายผ้าอุทกสาฎก (ผ้าอาบน้ำ) แก่ภิกษุณีสงฆ์เพื่อปกปิดความไม่งามและไม่ให้ถูกเย้ยยัน
ภาพวาดการทำบุญภาคอีสาน |
โดยนางวิสาขาได้ให้เหตุผลการถวายผ้าอาบน้ำฝนว่า เพื่อให้ใช้ปกปิดความเปลือยกาย
ในเวลาสรงน้ำฝนของพระสงฆ์ที่ดูไม่งามดังกล่าว ดังนั้น นางวิสาขาจึงเป็นอุบาสิกาคนแรก
ที่ได้รับอนุญาตให้ถวายผ้าอาบน้ำฝน (วัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์
ผ้าอาบน้ำฝน จึงถือเป็นบริขารพิเศษที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระสงฆ์ได้ใช้
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้ถูกต้องตามพระวินัยปิฎก มิเช่นนั้นพระสงฆ์จะต้องอาบัตินิคสัคคิยปาจิตตีย์
คือ ต้องทำผ้ากว้างยาวให้ถูกขนาดตามพระวินัย คือ ยาว ๖ คืบพระสุคต กว้าง ๒ คืบครึ่ง
ตามมาตราปัจจุบันคือ ยาว ๔ ศอก ๓ กระเบียด กว้าง ๑ ศอก ๑ คืบ ๔ นิ้ว ๑ กระเบียดเศษ
ถ้าหากมีขนาดใหญ่กว่านี้ พระสงฆ์ต้องตัดให้ได้ขนาด จึงจะปลงอาบัติได้
นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงวางกรอบเวลาในการแสวงหาผ้าอาบน้ำฝนไว้ด้วย
หากพระสงฆ์แสวงหาผ้าอาบน้ำฝนมาได้ภายนอกกำหนดเวลาดังกล่าว จะต้องอาบัติ
โดยพระพุทธเจ้ายังได้ทรงวางกรอบเวลาในการแสวงหาผ้าอาบน้ำฝนไว้ว่า
หากพระสงฆ์แสวงหาผ้าอาบน้ำฝนมาใช้ได้ภายนอกกำหนดเวลาดังกล่าว จะต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
กล่าวคือ ทรงวางกรอบเวลาหรือเขตกาลไว้ ๓ เขตกาล คือ
เขตกาลที่จะแสวงหา ช่วงปลายฤดูร้อน ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ ถึงวันเพ็ญเดือน ๘ รวมเวลา ๑ เดือน
เขตกาลที่จะทำนุ่งห่ม ช่วงกึ่งเดือนปลายฤดูร้อน ตั้งแต่ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงวันเพ็ญเดือน ๘
รวมเวลาประมาณ ๑๕ วัน เขตกาลที่จะอธิษฐานใช้สอย ช่วงเข้าพรรษา ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘
ถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ รวมเวลา ๔ เดือน ด้วยกรอบพระพุทธานุญาตและกรอบเวลาตามพระวินัยดังกล่าว
เมื่อถึงเวลาที่พระสงฆ์ต้องแสวงหาผ้าอาบน้ำฝน พุทธศานิกชนจึงถือโอกาสบำเพ็ญกุศล
ด้วยการจัดหาผ้าอาบน้ำฝนมาถวายแก่พระสงฆ์ จนเป็นประเพณีสำคัญ
เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษามาจนปัจจุบัน
ประเพณีถวายผ้าอัจเจกจีวร (ระหว่างเข้าพรรษา)
ผ้าอัจเจกจีวร แปลว่า จีวรรีบร้อน หรือผ้าด่วน คือผ้าจำนำพรรษาที่ถวายล่วงหน้าในช่วงเข้าพรรษา
ก่อนกำหนดจีวรกาลปกติ ด้วยเหตุรีบร้อนของผู้ถวาย เช่น ผู้ถวายจะไปรบทัพหรือเจ็บไข้
ไม่ไว้ใจว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ชีวิต หรือเป็นบุคคลที่พึ่งเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาควรรับไว้ฉลองศรัทธา
อัจเจกจีวรเช่นนี้ พระวินัยอนุญาตให้พระสงฆ์รับเก็บไว้ได้ แต่ต้องรับก่อนวันปวารณาไม่เกิน ๑๐ วัน
(คือตั้งแต่ขึ้น ๖ ค่ำ ถึง ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ) และต้องนำมาใช้ภายในช่วงจีวรกาล
ผ้าอัจเจกจีวรนี้ เป็นผ้าที่มีความมุ่งหมายเดียวกับผ้าจำนำพรรษา เพียงแต่ถวายก่อนฤดูจีวรกาล
ด้วยวัตถุประสงค์รีบด่วนด้วยความไม่แน่ใจในชีวิต ซึ่งประเพณีนี้คงมีสืบมาแต่สมัยพุทธกาล
ปัจจุบันไม่ปรากฏเป็นพิธีใหญ่ เพราะเป็นการถวายด้วยสาเหตุส่วนตัวเฉพาะรายไป ส่วนมากจะมีเจ้าภาพ
ผู้ถวายเพียงคนเดียวและเป็นคนป่วยหนักที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
ภาพวาด การทำบุญภาคอีสาน |
การประกอบพิธีทางศาสนาในช่วงพรรษากาลในประเทศไทย
แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของ ภิกษุ แต่ พุทธศาสนิกชน ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำบุญ รักษาศีล
และชำระจิตใจให้ผ่องใส โดยการจัดเตรียมสิ่งของเพื่อนำไปถวายแก่พระสงฆ์ที่จะจำพรรษา
การตั้งใจรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ และตั้งใจบำเพ็ญความดี เข้าวัดฟังธรรมตลอดพรรษากาล
ซึ่งไม่เฉพาะแต่ชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ให้ความสำคัญกับการเข้าพรรษา
ของพระสงฆ์เป็นอย่างมากเช่นกัน พระราชพิธี
การพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันเข้าพรรษานี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และเทศกาลเข้าพรรษา
ซึ่งเดิมก่อน พ.ศ. ๒๕๐๑ เรียกเพียง การพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันเข้าพรรษา
แต่หลังจากที่ทางคณะสงฆ์มีการกำหนดให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง
(ก่อนหน้าวันเข้าพรรษา ๑ วัน) ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ แล้ว สำนักพระราชวัง จึงได้กำหนดเพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศล
ในวันอาสฬหบูชาเพิ่มเติมขึ้นมาด้วยอีกวันหนึ่ง รวมเป็นสองวัน
การพระราชพิธีนี้โดยปกติมี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นองค์ประธานในการพระราชพิธี
บำเพ็ญพระราชกุศล และบางครั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จแทน
โดยสถานที่ประกอบพระราชพิธีหลักจะจัดใน วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดบวรนิเวศวิหาร และภายใน พระบรมมหาราชวัง
การสำคัญของพระราชพิธีคือการถวายพุ่มเทียนเครื่องบูชาแก่ พระพุทธปฏิมา
และ พระราชาคณะ รวมทั้งการพระราชทานภัตตาหารแก่พระราชาคณะ ฐานานุกรม เปรียญ
ซึ่งรับอาราธานามารับ บิณฑบาต ใน พระบรมมหาราชวัง จำนวน ๑๕๐ รูป ในวันเข้าพรรษาทุกปี เป็นต้น
ซึ่งการพระราชพิธีนี้เป็นการแสดงออกถึงพระราชศรัทธาอันแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา
ขององค์ พระมหากษัตริย์ ไทยผู้ทรงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พิธีสามัญ
เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชน นิยมไป ทำบุญ ตักบาตร ถวายเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน
โดยมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น
มาถวายพระ ภิกษุ สามเณร หรือมีการช่วยพระทำความสะอาด เสนาสนะ ซ่อมแซม กุฏิ วิหาร และอื่นๆ
โดยนิยมไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษา อุโบสถศีล กันที่ วัด
บางคนอาจตั้งใจงดเว้น อบายมุข ต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น
ซึ่งพอสรุปกิจที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติในพรรษากาลได้ดังนี้
๑.ร่วมกิจกรรมทำเทียนพรรษาหรือหลอดไฟถวายแก่พระสงฆ์
๒.ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่ ภิกษุ สามเณร
๓.ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟัง พระธรรมเทศนา รักษา อุโบสถศีล ตลอดพรรษากาล
๔.อธิษฐานตั้งใจทำความดี หรืองดการทำชั่วอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น งดเว้น อบายมุข ต่าง ๆ เป็นต้น
วันเข้าพรรษาในประเทศอื่น ๆ
ในปัจจุบัน มี พระสงฆ์ จากประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะพระสงฆ์จาก ประเทศไทย พม่า ศรีลังกา
และบางส่วนของ ญี่ปุ่น จะไปทำพิธีวันเข้าพรรษาที่ ประเทศอินเดีย และ ประเทศเนปาล ในสถานที่ต่าง ๆ
เช่น พุทธคยา เมือง ราชคฤห์ สารนาถ เมือง กุสินารา สวน ลุมพินี เมือง กบิลพัสดุ์ เมือง สาวัตถี
และกรุง นิวเดลี เป็นต้น ขณะเดียวกันในส่วนอื่น ๆ ของ ประเทศอินเดีย ต่างก็ถือว่าวันเข้าพรรษา
เป็นวันเริ่มต้นการถือศีลและปฏิบัติธรรมไปจนครบ ๓ เดือน และกำหนดให้วันเข้าพรรษา
ให้เป็นวันเริ่มการทำความดีเช่นเดียวกัน
สำหรับใน ประเทศอินเดีย นั้น ไม่ได้กำหนดให้วันเข้าพรรษาและ วันอาสาฬหบูชา
เป็นวันหยุดราชการทั่วประเทศเหมือนกับ วันวิสาขบูชา ส่วนประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้
ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันเข้าพรรษาและ วันอาสาฬหบูชา ให้เท่าเทียมกับ วันวิสาขบูชา ด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org, วิกิพีเดีย
|