สาเหตุการพังทลายขององค์พระธาตุพนม
อาการพังทลายไม่ได้ทรุดที่ฐาน หากเริ่มจากยอดที่เป็นน้ำหนัก ในแนวดิ่งที่หนักมาก
มากดคอบัวฐานชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ให้บิออกเป็นแนวฉีกลึกไปในเจดีย์ เพราะอิฐเปียกยุ่ยจากฝนตก
ติดต่อกันอย่างหนัก ต่อจากนั้นอิฐผนังที่ยุ่ยอยู่แล้วก็ค่อย ๆ ทลายลงเป็นแถบ ๆ ยอดเจดีย์กด
พุ่งลงมาตามแนวดิ่งหักลงเป็นท่อน ๆ องค์พระธาตุได้ล้มฟาดลงมาทางทิศตะวันออก
แตกหักออกเป็นท่อน มีลักษณะเป็น 3 ตอน คือ
ตอนที่ 1 คือฐานชั้นล่างที่ก่อด้วยอิฐแดงจำหลักลวดลายสูง 8 เมตร คือดอนที่เก่าที่สุด
สร้างด้วยอิฐเรียงสอด้วยวัตถุเหนียวแตกทับตัวเอง หลุดร่วงและล้มเป็นกองเศษอิฐแตกกระจายออกทั้ง 4 ด้าน
พูนขึ้นเป็นกองอิฐขนาดใหญ่
ตอนที่ 2 ระหว่างเรือนธาตุชั้นที่ 2 กับฐานบัลลังก์เป็นส่วนที่ได้รับการบูรณะในภายหลังแตกออกเป็น 2 ท่อน
ท่อนล่างละเอียดหมด ท่อนบนยังดีอยู่ ล้มกองไปตามทางทิศตะวันออก
ตอนที่ 3 คือส่วนยอดที่สร้างครอบยอดเดิมไว้เมื่อครั้ง พ.ศ. 2483 เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กยาวประมาณ 20 เมตร
(ความสูงใหญ่ 10 เมตร ระยะของความสูงเดิมจากฐานบัลลังก์ขึ้นไป) หักล้มไปทางทิศตะวันออก
ทับศาลาการเปรียญหรือโรงธรรมสภาแหลกละเอียด
และหอพระแก้วราบทะลายลงไปทั้งสองหลังเฉพาะหอพระแก้วเหลือแต่เพียงมุขด้านหน้าไว้เท่านั้น
ส่วนฉัตรที่ทำด้วยทองคำสวมยอดพระธาตุนั้น เอนปะทะพิงอยู่กับผนังหอพระแก้ว
ความเสียหายของฉัตรบุบสลายเพียงเล็กน้อย
ความเสียหายเนื่องจากพระธาตุพนมล้ม มีดังนี้
1. กำแพงแก้วรอบองค์พระธาตุพนมชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2
2. หอข้าวพระทรงปราสาทยอดมณฑป ซึ่งสร้างในสมัยเจ้าพระยานครหลวงพิชิตทศทิศราชธานีศรีโคตรบูรหลวง
บูรณะพระธาตุพนมเมื่อ พ.ศ. 2153
3. ศาลาการเปรียญหรือโรงธรรมสภาสร้างเมื่อ พ.ศ. 2466
4. วิหารหอพระแก้ว หรือวิหารหลวง แรกสร้างในสมัยพระเจ้าโพธิสารได้บูรณะพระธาตุพนม เมื่อราว พ.ศ. 2073
5. หอพระด้านทิศเหนือและทิศใต้
ส่วนพระอุโบสถซึ่งอยู่ด้านทิศใต้ของหอพระแก้ว รอดพ้นอันตรายไปได้อย่างหวุดหวิด
เพราะอาคารทั้งสองสร้างอยู่ใกล้ชิดกันมาก (ระยะห่างเพียง 5 เมตรเท่านั้น)
จากการศึกษาของคณะอนุกรรมการ
เพื่อรักษาสภาพเดิมขององค์พระธาตุพนม และบริษัทวิศวกรรมที่เข้ามาศึกษาหาสาเหตุภัยพิบัติครั้งนี้
ได้ตั้งสมมุติฐานไว้ดังนี้คือ
1. ฐานรากขององค์พระธาตุทรุดตัวไม่เท่ากัน ทำให้อาคารเสียการทรงตัว
2. วัสดุก่อสร้างซึ่งสร้างมานาน เป็นอิฐบางส่วนเสื่อมสภาพไม่สามารถรับน้ำหนักดีเท่าด้านอื่น
ทำให้เสียศูนย์ จึงล้มพังทลาย
3. เกิดจากแรงกดน้ำหนักภายในของวัสดุในองค์พระธาตุพนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความชื้น
จนผนังอิฐบางส่วนทนรับน้ำหนักไม่ไหว แตกร้าวล้มในที่สุด
จากการศึกษาของบริษัทวิศวกรรม
ได้ขุดศึกษาชั้นดินลงมาพบชั้นกรวดในระดับความลึก 20 เมตร ซึ่งจัดว่าเป็นชั้นรากฐานที่ดีมาก
และไม่มีการทรุดตัวของชั้นดินโดยรอบเลย ประเด็นในข้อที่ 1 จึงตกไป
ส่วนในข้อที่ 2 และ 3 นั้น มีเค้าความเจริญอยู่มาก แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในกรณีทั่วๆ ไป
เป็นพฤติกรรมต่อเนื่องที่สร้างสมติดต่อกันมาไม่น้อยกว่าสามสิบปี กล่าวคือ
เมื่อมีการต่อยอดโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กซึ่งเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ ในปี พ.ศ. 2483-2484 นั้น
ไม่มีการเสริมความแข็งแรงฐานเรือนธาตุทั้งสองชั้นใหม่ ทั้งที่ฐานทั้งสองต้องแบกน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล
ความแข็งแรงมั่นคง
เท่าที่มีอยู่ได้กลับเป็นความรอบคอบของท่านราชครูหลวงโพนสะเม็ก
การต่อยอดครั้งนั้นได้อัดอิฐดินภายในโพรงอาคารเดิมจนทึบตันรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
และลำพังอิฐก่อสร้างอาคารในส่วนที่ดีอยู่นั้น (อยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ. 1300-1400)
มีความแข็งแรงเกือบเท่าคอนกรีต
ความแข็งแรงทั้งหมดนี้จึงแยกน้ำหนักของยอดอาคารองค์พระธาตุได้เป็นอย่างดียิ่ง
ต่อเมื่อมีการต่อยอดเสริมขึ้นใหม่นั้นเปิดช่องระบายอากาศทุกด้าน ช่องเหล่านี้เป็นทางให้น้ำฝนสาดเข้าไปได้
แต่ไม่ได้เปิดทางระบายน้ำไว้ เมื่อน้ำเข้าไปช่องเหล่านี้ก็จะไหลไปกองอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งที่ไม่ได้ระดับ
น้ำเหล่านี้ค่อย ๆ ซึมเซาะอิฐให้เสื่อมสภาพไปอย่างช้า ๆ จนฐานรากไม่สามารถรับน้ำหนักท่อนบนไหว
พังทลายลงมาทั้งองค์
ผอูบบรรจุพระอุรังคธาตุ วัดพระธาตุพนม |
ภาพการก่อสร้าพระธาตุพนมองค์ใหม่ พ.ศ ๒๕๒๑
แทนองค์เก่าที่พังทลาย เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๘
ณ ฐานที่ตั้งองค์เดิมพระธาตพนม
เสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ ๒๕๒๒ |
พระธาตุพนม องค์สร้างขึ้นใหม่ |
|
พระราชพิธียกฉัตรพระธาตุพนม
จากเหตุการณ์ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน
ทำให้องค์พระธาตุพนม พุทธศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองนครพนม
อายุ ๒, ๐๐๐ ปี ทรุดตัวพังทลายลงทั้งองค์
เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
รัฐบาลและประชาชนชาวไทยได้ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์
องค์พระธาตุให้สง่างามดังเดิม เมื่อแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดการพระราชพิธียกฉัตร
ยอดองค์พระธาตุพนมในวันที่ ๒๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒
และได้เสด็จพระราชดำเนินไป ในพระราชพิธีเชิญพระบรมสารีริกธาตุ
ขึ้นบรรจุในองค์พระธาตุพนม เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ปีเดียวกัน
ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
ที่มาของภาพ/ข้อมูล
http://www.haii.or.th/
|
|
..........................................................................................................
ที่มา http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=9235.415
ขอบคุณภาพจาก
http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=9235.50
http://www.oknation.net/, http://f.ptcdn.info/
http://www.suebpong.rmutl.ac.th/ , http://webiz.co.th/
http://i.ytimg.com/ ,http://www.thatphanom.com/
|