บทสรภัญญ์ พื้นบ้านอีสาน

บทมาลาบูชาคุณ

มาลาดวงดอกไม้ มาตั้งไว้เพื่อบูชา
ขอบูชาคุณพระพุทธ ผู้สูงสุดในโลกา

มาลาดวงดอกไม้ มาตั้งไว้เพื่อบูชา
ขอบูชาคุณพระธรรม อันน้อมนำเกิดปัญญา

มาลาดวงดอกไม้ มาตั้งไว้เพื่อบูชา
ขอบูชาคุณพระสงฆ์ ผู้ดำรงศาสนา

มาลาดวงดอกไม้ มาตั้งไว้เพื่อบูชา
ขอบูชาคุณบิดา คุณมารดาที่เลี้ยงมา

มาลาดวงดอกไม้ มาตั้งไว้เพื่อบูชา
ขอบูชาครูผู้สอน ผู้เขียนกลอนสรภัญญ์

ดอกไม้เก็บใส่ขัน ตั้งเป็นฐานอยู่สอนลอน
ปวงข้าประนมกร จงถาวรทุกองค์เทอญ ฯ

กลอนกราบบูชาพระรัตนตรัย

(นำ) เตรียมตัวพวกเราเอย ๆ เตรียมตัวเลยประนมมือ
(รับ) เตรียมตัวนั่งประโหย่ง ๆ ประนมมือขึ้นชอนลอน

ยกพระกรขึ้นกราบทูล ๆ อันไพบูลย์ระลึกถึง
กราบลงครั้งที่หนึ่ง ๆ ระลึกถึงคุณพระพุทธ

กราบลงครั้งที่สอง ๆ ตั้งใจปองแด่พระธรรม
กราบลงครั้งที่สาม ๆ ตั้งใจงามต่อพระสงฆ์

สตรีผู้เลื่อมใส ๆ จงตั้งใจทุกคนเทอญ
แต่นี้เริ่มบูชา ๆ ดวงมาลาบูชาคุณ

ขอบูชาแด่พระพุทธ ๆ ผู้ได้ตรัสรู้มา
ขอบูชาแด่พระธรรม ๆ ผู้ได้นำคำสอนมา

ขอบูชาแด่พระสงฆ์ ๆ ผู้ดำรงพระวินัย
มาลาดวงดอกไม้ ๆ มาตั้งไว้เพื่อบูชา

ขอบูชาแด่พระพุทธ ๆ แด่พระธรรมพระสงฆ์พร้อม
ด้วยจิตอันนอบน้อม ๆ พร้อมทั้งครูผู้มีคุณ

ขอบูชาบุญส่วนนี้ ๆ จงเกิดมีแก่ข้าเทอญ

กลอนพระธาตุพนม

(นำ) พระธาตุพระนมนี้ เป็นเจดีย์อันอุดม,
(รับ) ทั้งเป็นที่นิยม ของปวงชนแต่เดิมมาฯ

สร้างไว้แต่คราวที่ องค์มุนีศาสดา
ดับสิ้นสังขารา เสด็จเข้าสู่นิพพานฯ

ประมาณได้แปดปี ปรากฏมีในตำนาน,
ว่ามีผู้เชี่ยวชาญ ขีณาสพศิษย์พระองค์ฯ

นามว่ากัสสปะ ผู้ไม่ละจากธุดงค์,
ท่านนั้นมีประสงค์ ให้พระธาตุรุ่งเรืองนามฯ

จึงนำเอาพระธาตุ ของพระศาสดาจารย์,
พร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญ อรหันต์ห้าร้อยองค์ฯ

เหาะมาทางอากาศ งามวิลาศดุจดังหงส์,
มาถึงก็รีบลง สู่ภาคพื้นดังใจจงฯ

จึงได้ไปปรึกษา ชวนพระยาห้าพระองค์,
เมื่อได้คำตกลง แล้วก็เริ่มก่ออุโมงค์ฯ

เสร็จแล้วจึงนำเอา ธาตุหัวอกพุทธองค์,
ใส่ไว้ในอุโมงค์ แล้วปิดไว้แต่นั้นมาฯ

ครั้งนั้นนครศรี โคตรบุรียังรุ่งเรือง,
เป็นเมืองที่ลือเรื่อง เจริญเรืองเป็นศักดิ์ศรีฯ

ได้ฝากของดีไว้ พวกเราได้เป็นโชคดี,
ควรเราจะเปรมปรีด์ เชิดชูไว้ให้ดี เทอญ ฯ

กลอนแผ่เมตตาหลวง

(นำ) ขอแผ่เมตตาหลวง สัตว์ทั้งปวงมีนานา,
(รับ) สัตว์ปีกบินบนฟ้า สัตว์ปูปลาแม่น้ำเย็น ฯ

สัพเพนะสัตตา อเวราอย่าจองเวร,
สัตว์ตายหรือสัตว์เป็น จงอยู่เย็นสถาพร ฯ

สัพเพเทวดา พวกผู้ข้าขอวิงวอน,
รุกเขาป่าดงดอน ทั่วสิงขรสุขทุกวัน ฯ

สัพเพปุคคะลา มนุสสามาร่วมกัน
ผิดใจโทษมหันต์ อภัยกันมีเมตตา ฯ

เจ้าแม่ธรณี ทุกพื้นที่พระสุธา ,
สัพเพปุริสา อิตถิยามีถมไป ฯ

เจ้ากรรมหรือนายเวร ขอให้เป็นผู้มีชัย ,
สัตว์น้อยหรือสัตว์ใหญ่ อย่ามีภัยมาราวี ฯ

สัพเพผีปีศาจ ผีพวกขาดอาหารกิน,
พวกนี้น้ำตาริน ไม่ได้กินทรมาร ฯ

คือเปรตพวกอดข้าว ของพระเจ้าพิมพิสาร,
พวกญาติไม่ได้ทาน ตามสถานในวัดวา ฯ

โชคดีพระสัมมา องค์สัตถาทรงเทศน์โปรด
พวกเปรตที่ต้องโทษ ทรงผายโผดพ้นทุกข์ใจ ฯ

ทำบุญส่งไปให้ จึงได้กินอิ่มฤทัย,
ทำบุญต้องเร็วไว ถ้าช้าไปเสียใจเอย ฯ

กลอนวันศีลน้อยวันศีลใหญ่

(นำ) เจ็ดค่ำวันศีลน้อย อย่าด่าป้อยเสพสุรา,
(รับ) แปดค่ำถือศีลห้า ไปวัดวาสร้างกุศล ฯ

สิบสี่ค่ำอย่าหมองหม่น จงเป็นคนใจสะอาด ,
สิบห้าค่ำอย่าประมาท อย่าอาฆาตและจองเวรฯ

หลีกเว้นให้ไกลไกล จงตั้งใจให้มีธรรม,
สี่วันเป็นวันพระ อด ลด ละ พ่อแม่เอยฯ

ทำบุญไว้ตามเคย พ่อแม่เอยจะสบาย,
ความโศกจะกลับกลาย จากวอดวายกลายเป็นดีฯ

คุณธรรมอยู่ในจิต ทำชีวิตให้มีศรี,
จบกันเพียงแค่นี้ สวัสดีสุขีเทอญฯ

กลอนศีล 5

วันนี้มีเรื่องราว จะขอกล่าวเป็นคำสอน
ขาดศีลจะเดือดร้อน พึงสังวรกันให้ดี

ศีลห้าอย่าเลือนหาย หญิงและชายนั้นควรมี
ชีวิตจะสุขขี ถ้าเรามีศีลทุกวัน

ข้อหนึ่งพึงระวัง อย่าทำผิดคิดเบียดเบียน
สัตว์โลกควรเป็นเพื่อน จึงขอเตือนอย่าฆ่าฟัน

เวรกรรมจะนำมา ในไม่ช้าจะตามทัน
ปานาอย่าฆ่ากัน จะสุขสันต์ทุกวันคืน

ข้อสองตรองให้ดี อยากมั่งมีต้องทำงาน
ห้ามลักของชาวบ้าน ถูกประจานจะขมขื่น

อทินนาอย่าทำผิด คิดขโมยของคนอื่น
รู้แล้วอย่าฝ่าฝืน แสนกล้ำกลืนถูกจำจอง

ข้อสามอย่าตามใจ จิตอย่าไวใฝ่ตัณหา
สามีภรรยา ห้ามโลภาผิดคู่ครอง

กาเมสุมิจฉา ให้รักษาอย่ามัวหมอง
ละเมิดผิดครรลอง ปวดสมองเกิดวุ่นวาย

ข้อสี่มีสัจจะ เจรจาอย่าลวงใคร
ควรคิดให้ยาวไกล ผิดพลาดไปภัยมากมาย

มุสาอย่าโกหก ตกนรกบ่วงอบาย
พูดปดควรละอาย เราทั้งหลายอย่าได้ทำ

ข้อห้าอย่าได้คิด ไปเป็นมิตรกับสุรา
เมามายหมดคุณค่า จะนำพาไปก่อกรรม

สุราเมระยะ ท่านให้ละสิ่งมึนเมา
เสพแล้วจะโง่เขลา ชีวิตเศร้าไปจนตาย

ร้องมาคงเข้าใจ ในเนื้อหาศีลห้านี้
ทำได้จะสุขี หมดราคีทั้งใจกาย

คงพอเพียงเท่านี้ ขอยุติการบรรยาย
กราบลาท่านทั้งหลาย สุขสบายทุกคนเทอญ

กลอนไหลเรือไฟ

(นำ) ล่องเรือไหลเรือไฟ ลงเรือไปลำน้ำโขง,
(รับ) ตะวันอัสดง แม่น้ำโขงพาชื่นใจฯ

ธรรมเนียมประเพณี ทำทุกปีไหลเรือไฟ,
จัดงานครั้งยิ่งใหญ่ ให้เกริกไกรมโหฬารฯ

นครพนมคือ เมืองลือชื่อดำเนินงาน,
เหมือนชมแดนวิมาน ไฟระรานตระการตาฯ

เรือไฟลำน้ำโขง แสงไหลลงในคงคา,
ในน้ำก็มีปลา ว่ายไปมาชมเรือไฟฯ

ฝั่งโขงประเทศลาว พวกหนุ่มสาวเขาสนใจ,
มาชมไหลเรือไฟ ประเทศไทยเราเจริญฯ

พระจันทร์วันเต็มดวง แสงโชติช่วงน่าเพลิดเพลิน,
หนุ่มสาวเหมือนหงส์เหิน พากันเดินริมฝั่งโขงฯ

ลาวไทยใกล้พรมแดน เหมือนเป็นแฟนได้เชื่อมโยง,
สองฝั่งแม่น้ำโขง น้ำไหลโค้งเข้าหากันฯ

พวกลาวและชาวไทย สัมพันธ์ไว้กับเวียงจันทน์,
ขอเป็นพี่น้องกัน ไทยเวียงจันทน์รักกันเอยฯ

กลอนประเพณีสิบสองเดือน

(นำ) คำสอนต่อไปนี้ ประเพณีสิบสองเดือน,
(รับ) พวกเราจะขอเตือน สิบสองเดือนจดจำเอา

เดือนอ้ายบุญกองข้าว ให้พวกเราจงทำทาน,
เดือนยี่บุญเข้ากรรม พวกเราทำแต่ความดี ๆ

เดือนสามบุญข้าวจี่ ถึงเดือนสี่บุญพระเวส,
เดือนห้าบุญสงกรานต์ พวกหนุ่มสาวร่วมเฮฮา

เล่นน้ำเล่นกีฬา มีชีวาสุขสมใจ,
เดือนหกบุญบั้งไฟ พุตะไลบั้งไฟหมื่น

เดือนเจ็ดบุญกลางบ้าน พวกเราพากันทำทาน,
เดือนแปดอธิฐาน อะธิฐานเข้าพรรษา

เข้าพรรษาไปทอดเทียน บำเพ็ญเพียรรักษาศีล,
เดือนเก้าประดับดิน พวก เรากินเพื่อผู้ตาย

เดือนสิบบุญข้าวสาก นำเอามามีมากมาย,
ทำบุญให้ผู้ตาย มีมากมายหลายนาบหน้า

เดือนสิบเอ็ดออกพรรษา พวกเรามาทอดกฐิน,
เดือนสิบสองลอยกระทง พากันลงห้วยลำคลอง

ทอดประทีปดวงมาลา เพื่อบูชารอยพระบาท,
ทำบุญและทำทาน สุขสำราญบานฤทัย

พวกเรารักษาไว้ ทั้งหญิงชายคุณความดี,
ทำตามประเพณี ประเพณีสิบสองเดือน ๆ

กลอนประสูติพุทธองค์

(นำ) บัดนี้จะได้กล่าว ถึงเรื่องราวของพระองค์,
(รับ) ลงมาบังเกิดเกล้า เอากำเนิดในโลกา

เสด็จมายามราตรี เข้าสู่ครรภ์ของมารดา,
ปีนั้นปีระกา จำไว้หนาท่านทุกคน

อยู่ในครรภ์ไม่ได้นาน กะประมาณได้สิบเดือน,
ประสูติพระองค์นั้น คือเดือนหกตรงวันเพ็ญ

เป็นวันอันประเสริฐ เดือนล้ำเลิศบูรมี,
ปีนั้นเป็นปีจอ เมื่อ พ.ศ. ยังไม่มี

ก่อนเวลาตั้ง พ.ศ. พุทธองค์ ๘๐ ปี,
วันศุกร์เป็นวันดี พุทธองค์ท่านเกิดมา

ประสูติพระองค์นั้น ในสวนลุมพินีวัน,
เป็นน่าอัศจรรย์ อรหันต์บังเกิดมา

มารดาชื่อมายา พระบิดาชื่อสุทโธ,
พระองค์ชื่อพระโพธิ์ สิทธัตถะจำไว้หนา

วงศาคนาญาติ ของพระองค์มีหลายองค์,
พระเจ้าสีหนุ ผู้เป็นปู่ของพระองค์

พระองค์ผู้เป็นหลาน กาญจนาผู้เป็นย่า,
พิมพานางเป็นสะใภ้ อยู่มาได้กับพระองค์

ตอนนี้ของลาลง ท่านทั้งหลายจำไว้เถิด,
ตอนนี้ของลาลง ท่านทั้งจำไว้เถิด

กลอนเทพยุดา

(นำ) ดูก่อนเทพยุดา ในสกลเทวโลก,
(รับ) พวกข้ามาประชุม มาชุมนุมที่ศาลา

ขอให้เทพยุดา จงลงมาเป็นพยาน,
พวกข้ามาทำทาน มีทั้งการรักษาศีล

ขอให้ท่านพระอินทร์ ผู้มีศีลจงจดจำ,
เซ็นชื่อใส่แผ่นคำ พวกข้าทำตั้งแต่บุญ

อย่าได้เสื่อมไป ขอจดไว้ท่านพระอินทร์,
หากว่าท่านได้ยิน ผู้จำศีลขออ้อนวอน

ขอให้เสียงสะท้อน ไปฮอดบ่อนพระเมตไตย์,
พระองค์ผู้เมตไตย์ ขอจงได้แผ่เมตตา

พวกข้าขอลาลง จิตจำนงทุกประการ,
พวกข้าขอลาลง จิตจำนงทุกประการ

กลอนอานิสงส์ของทาน

(นำ) ทานัง การให้ทาน คือสะพานไปสวรรค์,
(รับ) ควรให้ทานไปทุกวัน ดังพวกฉันบอกวิธี

กำจัดความตระหนี่ ไม่ให้มีในกมล,
อานิสงส์มีหลายล้น ทำให้คนเป็นเทวดา

จากแผ่นดินขึ้นชั้นฟ้า ก็เพราะว่าการให้ทาน,
เสวยสุขในวิมาน ก็เพราะทานเป็นเรือยนต์

ผลทานย่อมบันดล ทำให้คนไปสวรรค์,
แสนสุขแสนสำราญ ในวิมานสำราญองค์

ทุกๆท่านที่ประสงค์ อยากเป็นองค์พวกเทวัน ,
ควรให้ทานไปทุกวัน ดังพวกฉันบอกมาเทอญ

กลอนหยายห่อข้าว

(นำ) โอโอ่ลูกเราเอ๋ย จงชดเชยการทำทาน
(รับ) วันนี้ยมบาล ท่านประทานให้แม่มา

เพื่อรับกุสลา ของลูกยาจงทำบุญ
เกื้อกูลและอุดหนุน ส่งกองบุญให้แม่เถิด

ตั้งแต่เจ้าพึ่งเกิด แสนประเสริฐแม่ดีใจ
กล่อมเกลี้ยงแต่เยาวัย จนกระทั่งโตเป็นนาย

สละบ้างอย่าเบื่อหน่าย พ่อและแม่จะคอยทาง
เห็นแต่คนทั้งหลาย เขามาหยายห่อข้าวน้อย

คอยลูกหญิงและชาย เจ้าช่างหายไม่เหลียวแล
เหลียวหาก็บ่อเห็น หรือจำเป็นจั่งใดหนา

เพื่อนๆได้เต็มตะกร้า แม่นี่หนาไม่ได้เลย
ลูกเอ๋ยจงสงสาร ดวงวิญญาณของแม่นา

ข้าวปั้นเพียงเล็กน้อย รสอร่อยจงทำทาน
แก่พระสงฆ์ผู้เบิกบาน ดวงวิญญาณก็จะได้

จำไว้นาลูกหนา แม่คอยท่าทุกเวลา
ลูกจ๋าแม่ลาก่อน ขออวยพรให้โชคดี

สรภัญ...กาเวาวอน
กาเอยกาเวาวอน ร้องเสียงอ่อนตอนเย็นเย็น
กาเวาร้องเสียงเป็น ตาเวนร้อนอ่อนมโน
กาเวาร้องโตเอย ฟังแน่เวยน่าเห็นใจ
กาเวาร้องเสียงใส เพราะจับใจอรชอน
จับอยู่คอนต้นไทรสูง ร้องเรียกคู่ว่าเว้าเว้ย
กาเวาเอยร้องเสียงหวาน ฤดูกาลใบไม้โรย
ใจวี่และใจวอน ร้องอยู่คอนเสียงโยนโยน
เดือนสามและเดือนสี่ ใบไม้ปลิวลมมาเชย
กาเวาเอยจับสาขา คิดไปมาสังเวชตน
กาเวาเอยร้องคือคน มากังวลในเสียงกาฯ

สรภัญ...วันเข้าพรรษา
วันนี้เข้าพรรษา ขอบูชาคุณพระพุทธ
ประดุจแก้วมณี อันเหลื่อมใสทุกเวลาฯ
บูชาคุณพระธรรม อันเลิศล้ำในโลกนี้
บูชาคุณพระสงฆ์ ผู้ดำรงพระวินัยฯ
กรรมใดที่ฝูงข้า กระทำมาขออภัย
พวกดิฉันขอดวงศีล และดวงธรรมให้รุ่งเรืองฯ
อินทร์พรหมอยู่เบื้องบน จงแลเห็นฝูงข้าผู้ทำเพียร
ขอให้พวกดิฉัน ได้บุญญาบารมีฯ
สามเดือนครบไตรมาส แม่นที่ท่านบัญญัติไว้
โรคภัยอย่าได้มี ขอคุณพระจงรักษาฯ
พร้อมทั้งคุณบิดา คุณมารดารักษาพร้อม
ฝูงข้าขอนบน้อม ครูอาจารย์และศีลธรรมฯ
พรใดอันประเสริฐ จงเกิดมีทุกประการ
ขอให้ตาเห็นธรรม กรรมและเวรอย่าได้มีฯ
ปฏิบัติกีภพชาติ เพื่อหลุดจากวัฏฏะวน
ฝูงข้าทุกๆคน จงหลุดพ้นสู่นิพพานฯ

กลอนบุญข้าวจี่

บัดนี้จะขอกล่าว เล่าเรื่องราวประเพณี
เดือนสามบุญข้าวจี่ ประเพณีชาวอีสาน

กระทำตามกันมา ฮีตนี้หนามีมานาน
พร้อมเพรียงกันให้ทาน ความสำคัญนั้นจึงมี

หยิบยกขึ้นมากล่าว มีเรื่องเล่าบุญข้าวจี่
พุทธกาลตำนานมี นางทาสีชื่อปุณณา

นางเป็นหญิงรับใช้ ตักน้ำไกลจากเคหา
ท้องหิวยามไคลคลา ทำงานมาเนิ่นนานเนาว์

จึงตำข้าวร่อนเอารำ มาขยำให้คลุกเคล้า
ย่างไฟเพื่อบรรเทา หวังกินเอาตอนหิวมี

กลางทางได้พบพระ องค์พุทธชินสีห์
ปุณณาแสนยินดี เอาข้าวจี่ใส่บาตรท่าน

ปลื้มใจได้ทำบุญ แต่ใจวุ่นกลัวท่านไม่ฉัน
องค์พระสัมมารู้ทัน รับแล้วฉันต่อหน้าปุณณา

ต่อจากนั้นแสดงพระธรรม เทศน์ชี้นำให้เกิดปัญญา
นางทาสีผู้มีศรัทธา จบเทศนาบรรลุโสดาบัน

คืนวันล่วงลับลา นางปุณณาสิ้นชีวัน
อานิสงส์แห่งผลทาน สู่สวรรค์อันร่มเย็น

รำจี่เป็นข้าวจี่ เลยเกิดมีมาให้เห็น
หมู่ชาวอีสานเป็น ผู้ผดุงมุ่งทำมา

ข้าวเหนี่ยวปั้นเสียบไม้ ชุบด้วยไข่ใส่เกลือทา
ย่างไฟเหลืองงามตา นี่ละหนาข้าวจี่ไทย

เป็นบุญทำเสริมฮีต จากอดีตรักษาไว้
วันบุญหนุนนำไป เพื่อถวายแด่พระสงฆ์

จึงมีในฮีตสาม กระทำตามให้ยืนยง
ถวายทานบุญหนุนส่ง ให้ดำรงชั่วกาลนาน

สุดท้ายขออวยชัย อวยพรให้ทุกๆท่าน
อายุยืนยาวนาน จงสุขสันต์ทั่วกัน เทอญฯ

กลอนวันออกพรรษา

สิบนิ้วประนมกร    ลูกขอวอนกล่าวอำลา
ถึงวันออกพรรษา    เป็นสัญญาพ้นสามเดือน

เชิญชวนเหล่าชาวพุทธ    มาร่วมจุดธูปบูชา
เวียนเทียนขอขมา    องค์สัมมาตามทำนอง

รับศีลและกินทาน    ร่วมสืบสานประเพณี
รักษากายวจี    ฟังหลวงพี่แสดงธรรม

สิ่งใดหากล่วงเกิน    หรือขาดเขินโปรดอภัย
บางครั้งเผลอทำไป    ไม่ตั้งใจขอขมา

คารวะพระสงฆ์เณร    อย่ามีเวรหรือโกธา
ร่วมบุญโมทนา    ให้กายาอยู่เป็นสุข

เทพไท้โปรดอวยพร    อย่าจากจรให้เป็นกรรม
ร่วมบุญประพฤติธรรม    ทุก ๆ ค่ำมีสุขเทอญ...ฯ

กลอนสรภัญญ์อัฐิธาตุเจดีย์

อัฐิธาตุพระเจดีย์ มีความงามอันอุดม
ทั้งเป็นที่ชื่นชม สาธุชนผู้ศรัทธา

สร้างไว้เพื่อบูชา อุปัชฌาย์พระอาจารย์
เป็นบุญญาธิการ ทุก ๆ ท่านผู้บูชา

ปฏิปทาคุณหลวงปู่ พระสุนทรธรรมากร
สั่งสอนสานุศิษย์ ทั่วทุกทิศมาช้านาน

สร้างพระธาตุมหาชัย ที่ยิ่งใหญ่คนกล่าวขาน
ชื่อเสียงเลื่องลือนาม ด้วยเมตตาบารมี

ปฐวีธาตุกสิน เทวาอินทร์ยังเกรงขาม
เทพาเหล่านาคา อารักขาปกป้องภัย

เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรทอง ชนทั้งผองได้พึงพา
ด้วยธรรมเทศนา ภาวนากรรมฐาน

ทุกสิ่งนั้นอนิจจัง สังขารพังมิยังอยู่
หลวงปู่จากศิษย์ไป สุดอาลัยใจห่วงหา

น้ำตาสาธุชน หลั่งไหลล้นพระสุธา
วันคืนไม่ย้อนมา สุดจะหาใครไหนเหมือน

วันเดือนเวียนผันผ่าน เป็นตำนานให้ชนรุ่นหลัง
ตัวตายชื่อเสียงยัง ให้จดจำ ให้ดีเทอญฯ

(แต่ง/ เรียบเรียงโดย พระครูภาวนาสุตาภรณ์)

คำกราบพระรัตนตรัยแบบสรภัญญะ

กราบลงครั้งที่หนึ่ง ระลึกถึงคุณพระพุทธ ๆ
กราบลงครั้งที่สอง เอาใจปองต่อพระธรรม ๆ
กราบลงครั้งที่สาม เอาใจงามต่อพระสงฆ์ ๆ

บทไหว้พระคุณบิดามารดา

ข้าขอกราบไหว้คุณ พระมารดาและบิดา,
เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่ก่อนมาจึงเป็นคน ๆ

แสนยากลำบากกาย ไม่คิดยากลำบากตน,
ในใจไม่กังวล อยู่ด้วยลูกทุกเวลา ๆ

ยามกินถ้าลูกร้อง ก็ต้องวางวิ่งมาหา,
ยามนอนไม่เต็มตา พอลูกร้องก็ต้องดู ๆ

ตัวเลือดยุงไรมด จะกวนกายรีบอุ้มชู,
อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา ๆ

คุณพ่อแม่มากนัก เปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา,
แผ่นดินทั้งหมดเอา เปรียบคุณท่านไม่เท่ากัน ๆ

เหลือที่จะแทนคุณ ของท่านนั้นใหญ่อนันต์,
เว้นไว้แต่เรียนธรรม เอามาสอนพอผ่อนบุญ ๆ

สอนธรรมที่จริงใจ รูปไม่เที่ยงไว้เป็นทุน,
แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามทำนอง ๆ

นั้นแหละจึงนับได้ ว่าสนองคุณท่านมา,
ใช้ข้าวที่ป้อนมา และน้ำนมที่ดื่มกิน ๆ

บูชาพระคุณแม่
สิบนิ้วลูกวันทา น้อมบูชาคุณมารดร
ย้อนหลังเมื่อครั้งก่อน ในอุทรตั้งเก้าเดือน

ทศมาสแล้วก็เคลื่อน แม่นี้เหมือนจะขาดใจ
เจ็บปวดจนร้องไห้ กว่าจะได้แต่ละคน

อดทนเรื่องกินยาก แสนลำบากยามลูกวอน
เมื่อครั้งลูกยังอ่อน ถึงยามนอนแม่แกว่งไกว

ลงเปลแล้วเห่กล่อม คุณแม่ยอมเหนื่อยกว่าใคร
ตื่นนอนป้อนนมให้ ยามป่วยไข้ให้หยูกยา

ยามลูกร้องแม่ผวา ปวดอุราแสนห่วงใย
ค่อยถนอมอยู่ไม่ไกล จะมีใครเหมือนแม่นา

บางทีอึขี้ราด ล้างสะอาดทุกเวลา
คุณแม่มีเมตตา กรุณาบุตรทุกคน

อบอุ่นด้วยความรัก นอนบนตักแม่หลายหน
ผ่ายผอมแม่ยอมทน ลูกหลายคนเลี้ยงดูมา

พร่ำสอนเรื่องภาษา ให้ลูกยามาก่อนใคร
เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ แสนห่วงใยกว่าใครเลย

พระคุณแม่มีมากมาย สุดสรรหามาอ้างเอ่ย
มาเทียบและเปรียบเปรย หาใครเลยเหมือนแม่นา

รักลูกอย่างจริงแท้ รักของแม่ยิ่งชีวา
ลูกล้วนควรบูชา คุณมารดาค่าน้ำนม

พุทธองค์ทรงดำรัส ท่านทรงตรัสไว้เหมาะสม
มารดาดุจดังพรหม อย่าทับถมคุณท่านเลย ...

คำขอขมาคุณพ่อแม่

ธูปเทียนพานดอกไม้ ยกขึ้นไหว้เพื่อขอขมา ๆ
กรรมใดลูกเคยทำ เลวระยำหยาบต่ำช้า ๆ
กรรมนั้นกายวาจา เจตนาทำผิดไป ๆ
ต่อไปไม่ทำอีกแล้ว ตั้งใจแน่วเพื่อศาสนา ๆ
แทนคุณบิดามารดา ลูกขอลาบวชแทนคุณ ๆ
ลาแล้วลูกขอลา สู่ร่มผ้ากาสาวพัตร์ ๆ
ทำตามพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์นำให้ทำดี ๆ

บทระลึกถึงคุณบิดามารดา

อิมินา สักกาเรนะ ลูกขอกราบสักการบูชา
แด่พระบิดรมารดา อันลูกยาขอน้อมระลึกคุณ
ท่านมีเมตตาการุญ อุปการะ คุณต่อบุตรธิดา
ได้ให้กำเนิดลูกมา ทั้งการศึกษาและอบรม
ถึงแม้ลำบากขื่นขม ทุกข์ระทมสักเพียงไร
ท่านไม่เคยหวั่นไหว ต่อสิ่งใดที่เลี้ยงมา
พระคุณของท่านล้นฟ้า ยิ่งกว่าธาราและแผ่นดิน
ลูกขอบูชาเป็นอาจิณ ตราบจนสิ้นดวงชีวา
ขอปวงเทพไท้รักษา พระบิดรมารดาขอข้าเทอญ ฯ

กลอนออกพรรษา

สิบนิ้วประนมกร    ลูกขอวอนกล่าวอำลา
ถึงวันออกพรรษา    เป็นสัญญาพ้นสามเดือน
เชิญชวนเหล่าชาวพุทธ    มาร่วมจุดธูปบูชา
เวียนเทียนขอขมา    องค์สัมมาตามทำนอง
รับศีลและกินทาน    ร่วมสืบสานประเพณี
รักษากายวจี    ฟังหลวงพี่แสดงธรรม
สิ่งใดหากล่วงเกิน    หรือขาดเขินโปรดอภัย
บางครั้งเผลอทำไป    ไม่ตั้งใจขอขมา
คารวะพระสงฆ์เณร    อย่ามีเวรหรือโกรธา
ร่วมบุญโมทนา    ให้กายาอยู่เป็นสุข
เทพไท้โปรดอวยพร    อย่าจากจรให้เป็นกรรม
ร่วมบุญประพฤติธรรม    ทุก ๆ ค่ำมีสุขเทอญ...ฯ

กลอนสังขารไม่เที่ยง

โอ้โอ๋อนิจจา สังขารามันบ่เที่ยง ,
ยังวนเวียนในวัฏฏะ การเวียนว่าย ตายเกิด ,

รู้ไม่จริง รู้ไม่แน่ " ก็ต้องเกิด" " เพราะได้เกิดมาใช้กรรม"
ในภพนี้รู้จริงรู้แน่ รู้ประเสริฐ แห่งสังขาร

มีอะไร ในสังขาร มีขันธ์ห้าอยู่ในสังขาร
อยู่ในกาย ของเรานี้ เข้าใจแล้วจะหลุดพ้น

แห่งความทุกข์การเวียนว่าย ในวัฏฏะความสงสาร
เกิดแก่ และเจ็บตาย มาใช้กรรมในชาตินี้ ,

หมอก็ช่วย หายไม่ได้ , " ในชาตินี้" 

กลอน อาลัยหน้าศพ

อนิจจาสังขารา คนเกิดมาบ่ยั่งยืน
กลางวันและกลางคืน ย่อมเป็นอื่นไปตามกาล

พวกฉันจะสวดให้ ไว้อาลัยดวงวิญญาณ
ให้แก่ผู้วายปราณ ที่สังไม่แน่นอน

ได้นำพวงหรีดมา ไว้อาลัยใจอาวรณ์
คิดถึงผู้จากจร เข้าไปนอนโลงศพงาม

พวกฉันมีศรัทธา พร้อมเงินตรามาทานนำ
บำเพ็ญกิจการนำ พร้อมกับจุดธูปและเทียน

กล่าวคำไว้อาลัย ด้วยหัวใจอันวนเวียน
หัวใจไม่แนบเนียน หมดเพียรหลังน้ำตา

วันนี้มาจับจอง เป็นเจ้าของโมทนา
พวกฉันหยาดน้ำหา พร้อมยะถาพระสัพพี

วันนี้ขออวยชัย และให้พรจงไปดี
โลงศพก็งามดี มีสีเหลืองลายสีทอง

ดอกไม้เหลืองอร่าม สวยงดงามเมื่อยามมอง
ผู้ตายคงสมปอง กับสิ่งของทุกโมงยาม

ดอกไม้ตั้งบูชา อยู่ตรงหน้าโลงศพงาม
เสื้อผ้าเอาติดตาม ผืนงามๆ เนื้ออุ่นๆ

มีห่ออนิจจา พร้อมทั้งผ้าบังสุกุล
ลูกๆได้ทำบุญ ให้คุณท่านจงไปดี

ลูกๆอยู่ทางบ้าน จะทำทานตลอดไป
คุณท่านให้ดีใจ ไปสวรรค์ชั้นวิมาน
ขอให้ดวงวิญญาณ สุขสำราญสบายเทอญฯ

กลอน คติเตือนใจ

โอ้ โอ๋ อนิจจา สังขาราไม่เที่ยงตรง
หนุ่มแก่ย่อมจักปลง ชีวิตม้วยอย่าสงกา

อุบัติเกิดแล้วก็กลับ วิญญาณดับจากสรีรา
ชาติสิ้นแห่งปาณา วิการกายก็เป็นไป

บ่เที่ยงบ่ทนทาน บ่อยู่นานสักเพียงใด
ย่อมเสื่อมย่อมสิ้นไป ทุกคณานิกรชน

สิ่งสุขอันประเสริฐ สุขล้ำเลิศสถาผล
คือจิตอย่ากังวล เบญจกามะคุณา

ดับสนิทในสังขาร ที่จิตซ่านคือตัณหา
ไม่ใคร่ในภะวา วิภะวะประเสริฐผล

โอ้กายไม่นานหนอ บังเกิดก่อแล้วกลับกลาย
ดุจฟองแห่งน้ำหมาย แล้วแตกดับโดยฉับพลัน

สิ้นลมแห่งหายใจ ชีพบรรลัยบ่กลับหัน
ห่อนมีสิ่งสำคัญ เพื่อประโยชน์สักนิดเดียว

ทอดทิ้งดุจท่อนฟืน กลิ้งเหนือพื้นสุธาเทียว
ฟองซ้ำเน่าดำเขียว ส่งกลิ่นฟุ้งบ่เว้นวาง

ดูเถิดท่านทั้งหลาย บุรุษนายคณานาง
ควรปลงปัญญาทาง ปรมัตถ์อรรถธรรม

พยานปรากฎแก่ จักษุแท้บ่ปิดงำ
ควรคิดวินิจจำ ดังพระธรรมคำสอนแลฯ

กลอนก่องข้าวน้อยฆ่าแม่

บัดนี้จะได้กล่าว ประวัติเรื่องราวก่องข้าวน้อยฆ่าแม่
ในสมัยแต่โบราณ ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านตาดทอง

บ้านนั้นมีอาชีพทำนา จะกล่าวถึงลูกกำพร้าที่ชื่อว่าเจ้าทอง
เดือนหกฝนตกน้ำนอง จะกล่าวถึงเจ้าทองพาควายไปไถนา

เจ้าทองทำนาถ้าแม่ วันนั้นสายแท้รอแม่ไม่เห็นมา
เจ้าทองหิวข้าวจนตาลาย หิวจนแสบไส้ทั้งจ่มทั้งไถนา

จะกล่าวถึงแม่ของเจ้าทอง หาบเอาก่องข้าวน้อยไปส่งลูกที่นา
พอมาถึงจึงเอิ้นใส่ลูก ให้เจ้าผูกควายไว้มากินข้าวสาหล้า

มีแจ่วบองพร้อมทั้งปิ้งปลา มากินสาลูกหล้าแม่เอามาส่งให้
เจ้าทองพอเห็นก่องข้าวน้อย ย้านข้าวมีน้อยเลยฮ้องมาใส่

ก่องข้าวใหญ่เป็นยังบ่เอามา โอ๊ยอีห่ามึงแพงไว้ท่าผู้ใด๋
แม่เลยบอกกับลูกว่า ก่องข้าวน้อยก็จริงอยู่หล้าแต่ว่ามันแน่นใน

กินส่าก่อนจึงว่ามารดา ลูกจะรู้ว่ามันน้อยหรือมันใหญ่
เจ้าทองหิวข้าวเหลืออด เลยปลดแอกน้อยจะฆ่าแม่ทันที

แม่มองเห็นว่าลูกจะมาตี จึงวอนให้ลูกปราณี
อย่าตีแม่เด้อลูกเด้อ อย่าตีแม่เด้อลูกหล่า............

( บทขับเสภา)โอ้..............โอ่...................โอ้.................
ทองจ้าทองลูกหล้าอย่าฆ่าแม่ ฟังกระแสแม่ก่อนนะลูกหนา
อย่าฆ่าแม่บาปกรรมจะตามมา เพราะมารดามีคุณเหลืออนันต์
ตั้งแต่เล็กจนโตแม่เลี้ยงเจ้า คุณของแม่ยายเฒ่ามีมากหลาย
เลี้ยงแต่น้อยจนโตใหญ่ให้เห็นใจ บ่เคยเอามือป่ายตีลูกตน  
พอเลี้ยงใหญ่ขึ้นมาทรยศ เจ้าใจคดให้เลียวไม่ฉงน
ทองจ๋าทองบุตรตาโปรดเหลือด่น แม่ขอชีวิตเจ้าสักหนเถอะลูกยา
ทองจ๊าทองบุตรตา อย่าสิทำแม่กลัวแล้ว....

(รับ) เจ้าทองไม่ฟังคำแม่จักหน่อย จับได้แอกน้อยตีใส่หัวมารดา
ตีจนแม่มรณา ไม่มีความปราณีไม่มีความเมตตา

ฆ่าแม่ตายทองก็เปิดก่องข้าว พ่อเปิดออกแล้วก็เศร้าเพราะมองเห็นเลือดมารดา
ว่าจะกินข้าวก็กินไม่ลง กอดจูบแม่ตนแล้วก็หลั่งน้ำตา

แม่จ๋าลูกผิดไปแล้ว อภัยให้ลูกแก้วเทิดหนามารดา
ฆ่าแม่ตายเพราะความโกรธา ยมบาลคงพาลูกลงอเวจี

เจ้าทองก็คิดกลัวบาป เลยสร้างพระธาตุบรรจุกระดูกมารดา
เลยใส่ชื่อธาตุก่องข้าวน้อย เพื่อเท้ารอยบาปกรรมที่เคยทำมา

นี้แหละหนาความหิวของคน หน้ามืดมัวมนฆ่าแม่ตนจนมรณา
เพราะความหิวจึงฆ่าตาย ของเตือนลูกหญิงชายอย่าเป็นดั่งว่ามา

ถ้าอยากเห็นเชิญแวะไปดู ธาตุก่องข้าวน้อยตั้งอยู่ที่บ้านตาดทอง
เป็นจังใด๋หนอท่านผู้ฟัง     บทสรภัญญ์ของวัด..................ว่ามา

ก่องข้าวน้อยม่วนบ่ลุงป้า     ถ้าม่วนแล้วหนาโอกาสหน้ายังมี
ถ้าม่วนแล้วหนา ช่วยปรบมือให้พวกฉันที....

กลอน พ่อหม้ายใจทราม

(บทพูด)       
พี่น้องเอ่ย....ความฮักมาทางหลัง   ความหลงมาทางหน้า..
เวทนากะหุ่มห่อ    หาสติกะบ่พ้อ   ปัญญาเจ้ากะแล่นหนี   
อันความหลงว่านี้ มันปิดฮีเทิงหูตา   กระทำการเวทนา
ฆ่าลูกโตกะโสเมี้ยน   ลืมความเพียร   ทางหลังหน้า  
อันโลภะโมหะ สิทำโตให้ตกต่ำ หลงก่อกรรม โหดฮ้าย
อบายไหม้ ไปซั่วกัลป์   พี่น้องเอ๊ย............

(บทร้อง)
บัดนี้ เราจะ ได้กล่าว   ตามประวัติเรื่องราว    ของพ่อหม้ายใจทราม                
เมียตายป๊ะ เป็นเพราะเวรหรือกรรม           เลี้ยงลูกตาดำๆ .. เช้าค่ำได้เบิ่ง-แยง.     
ความฮักแพงสองหล่าลูกอ่อนน้อย           บ่ตีบ่ต้อย ค่ำคล้อย ออยลูกเข้าบ่อน.  
สองปีปลาย แม่ตายป๊ะออนซอน               คนน้อง ญังอ่อน สองขวบปลายนั้นเป็นชาย.
อยู่ไม่นาน ฤดูการทำนา                            อกพ่อหม้ายเหว่ว้า บ่มีคนมาส่งข้าวงาย
ฝนตกฮำ อยู่ผู้เดียวใจวุ่นวาย                  ไผน้อซิมาม่าย   อยากได้เมียมาอยู่นำ
พอไม่นาน ได้พบพานแม่ยอดชู้              ไปมาหาสู่   อยากมีคู่สาวทองดำ
ถ้อยวาจา เจ้าช่างมาลึกล้ำ อยากได้สาว..ทองดำ   ให้ฆ่าลูก เจ้าตายก่อน
หากกล้าทำ ดำซิเอา ซ่อนบ่อน                  บ่กล้าอย่ามาวอน อย่ามาเว้าให้ร่ำไร
อกพ่อหม้าย ฝังจำลงในใจ                       มื้ออื่นเด้อสิได้ ลวงลูกไปฆ่าปล่อย
มื้ออื่นมา ได้เวลาบ่ายคล้อย                    เอิ้นสองลูกน้อย พ่อสิพาไปท่ง
ไปหาปลาพาไปจับปูโข่ง                           แล้วพาเข้าดง ไปขุดสร่างให้ลงยั้ง
ลูกอ่อนน้อยสองส่อยวอยกำพร้าแม่ ,        แหมดีใจแท้ๆ........พ่อสิพาไปท่ง
ไวๆหล่าพ่อสิพาไปดง                              พ่อลงไปท่ง เห็นบักหว่าสีชมพู
น้องร้องให้อยากได้บักหว่า                       พ่อเลยบอกว่า สิพาไปเอา อยู่ในดง
บักต้องบักเค็ง เป็นโก่งโค่งโน้ง                บ่อึดในดง   เทิ้งบักแงวบักไฟ
เดินมาไกลป่าไม้ทึบหนา                           ตะวันไกล้ลับฟ้า   พ่อบอกว่านั่งถ่าก่อน
พ่อขุดสร่างให้กินน้ำเด้อน้อยอ่อน             ค่ำแล้วออนซอน สองบังอรก็อ่อนล้า
ขุดอยู่นาน พอประมาณกะว่า                    มาแม้ลูกหล่า    ให้พาน้องมาลงยั้ง
ฝ่ายผู้เอื้อย พอได้ฟังพ่อสั่ง                        โดดลงไปยั้ง  มันถ่วมหัวแล้วละพ่อ
ส่วนพ่อหม้าย   โยนลูกชายลงต่อ               จับบักจก   ได้น้อ     กะก่นดินลงใส่
ตกกระใจ เสียงน้องชายร้องจ้า                 เอื้อยเลยฮ้องว่า พ่อจ๋า อย่าก่นลง
เข้าตาน้อง   ทั้งถมแข้งถมขา                      ก้อนดินถืกหน้า น้องหล่ากะล้มลง
ดึงได้แขน กะญังแข้ง ญังขา                      เอื้อยเลยฮู้ว่า   พ่อสิฆ่าให้ตายโจ่ม

(บทลำ)
ซาวมือดึงแขนน้อง... เอื้อยกะ.น้ำตานองน่อไหลหลั่ง.....มือหนึ่งซาวใส่ฝั่ง     ผลัก กะตีงบ่ได้   ดินถมไว้ ว่าพ่อน้อ    สองมือนบจ้อก้อ.......วิงวอนพ่ออย่าถมลง........    ดินเป็นผงมันเข้าตา    ถมขึ้นมา ฮอดคอน้อง......เสียงน้องซายเฮฮ้อง......เอื้อยกะน้ำตานอง   วิงวอนเว้าผู้เป็นพ่อ ......พ่อนางเอ๊ย....เคยฮักลูกกะด้อ   เป็นหญังน้อพ่อสั่งทำ.........ฝนตกฮำ พ่อเคยหาใบตองกั้ง........ยามหลังคาเถียงนาพัง ยามฝนย้อยพ่อออยว่า........หยับมาแม้ ลูกหล่า ฝนสิย้อยใส่หัว   ยามลมแฮงเสียงฟ้าฮ้อง......พ่อยังได้เอาผ้าผืนหนาๆมาให้ห่ม.....หนาวหัวลม   มาจ้าวๆ    พ่อออยเข้านั่นบ่อนนอน   ยามลูกเจ็บไข้ฮ้อน...พ่อแล่น ฮ่อนน้อหายา   ฮักลูกปานดวงตา พ่อสังทำ น้อลงได้    มันหนักหลายดินถมร่าง.....เหมิดหนทางสิดิ้นต่อ..... แหงนขึ้นไปเบิ่งแต่พ่อ.... ก่นดินถมพังทับหน้า.....เสียงจาเว้า กะอ่อนลง กะอ่อนลง..............พ่อนางเอ๊ย...

(บทร้อง)
น้ำตาไหล กอดน้องไว้แนบ อก           พ่อขุดดินปก สิ้นชีวาในไพรพงษ์
พ่อแสนดีใจ    หากสิสมประสงค์            กลับมาจากดง   ตรงไปหาสาวทองดำ
อ้ายมาทวงคำ  แม่ทองดำให้วาจา        ลูกหญิงชายพี่กล้าฆ่า ตายแล้วหน่าคนงาม
ฝ่ายตัวเจ้า โอ้แม่สาวทองดำ                  เหมือนฟ้ากระหน่ำ   ลงมาที่กลางทรวง
เจ้านี่หนา ละชั่งกล้าเรียกว่าคน             ใจทรามเหลือล้น    ฆ่าลูกตนได้ลงคอ
ข้อยเป็นไผ    เจ้าสิมางึดง้อ                   ยามสูน มาน้อ เจ้าสิฆ่าข้อยคือกัน   
ไปให้ไกล อย่าได้มารำพัน                     ใจทรามปานนั้น    ข้อยขอเฒ่าตายดีก่อ
ได้ฟังคำ พ่อหม้ายแค้นจ้อลอ                เวรกรรมเฮาน้อ คึดฮอดลูกขึ้นทันได            
โดดลงเฮือน วิ่งเข้าป่าพงษ์ไพร              ผีห่าตนได สิงใจพ่อ ให้ทำลง
วิ่งลัดป่า ตัวกายา เลือดย้อย                  ถึงหลุมลูกน้อย ใจพ่อคอยสิขาด ลง
สองมือ ควดเอาดินที่ถมลง                     ชีวิตเจ้าปลง เพราะมือพ่อ หนอลูกยา
กอดศพลูก ทั้งสองแนบอุรา                    โอ้ลูกพ่อจ๋า ฟื้นขึ้นมา เถิดลูกเอย....

(บทลำ)
ตื่นขึ้นมาสาเด้อหล่า ให้มาจาเว้านำพ่อ .........เว้านำพ่อ....
คืนมากินหมากก่อ   คืนมากินหมากหว่า สิพาเจ้าน่อเทียวหา....ไปหาปลาอยู่นาน้อย........ไปงมหอยอยู่นาท่ง.......พาไปจับปูโข่ง จี่กินแลง   มือนี้ทั้งสองน้อยไห้ตื่นมา.......ปัดเอาดินออกจากหน้า......เห็นแต่คาบน้ำตา........จับนำแขนบายนำขา กายาเจ้ายังอุ่น..ๆ...ยังอุ่น..ๆ...    หัวใจพ่อมันว้าวุ่น....เลยเป็นบ้า ได้แล่นวุ่น.....ได้แล่นวน...น้อเวรน้อ...                  

(บทร้อง)
จบนิทาน สรภัญญ์ เราได้กล่าว       ตามประวัติเรื่องราว ของพ่อหม้ายใจทราม      
พิจารณา ก่อนที่จะกระทำ                เป็นคติธรรม รักโลภโกรธหลง นั่นหละนา
เป็นคำสอน ของพระศาสดา                พวกดิฉันขอลา ไปก่อน อย่าร้อนใจ
โอกาสดี คงได้พบกันใหม่                    โชคดีมีชัย ขอให้ได้ทุกคนเทอญ....

กลอนลากลับบ้าน (แบบที่ ๑)

พวกดิฉันขอกราบลา ถึงเวลาสมควรแล้ว,
ขอลาคุณพระแก้ว ประเสริฐแล้วจงรักษาฯ

ขอลาพระวิหาร ทุกสิ่งอันในอาราม,
ขอลาพระอาจารย์ ขอลากลับทุก ๆ องค์ฯ

ขอจงอย่ามีกรรม แก่พวกฉันทุก ๆ คน,
กรรมใดที่ประเสริฐ ขอให้เกิดอยู่ในตัวฯ

กรรมใดที่มัวหมอง อย่าได้จองแก่พวกฉัน,
สิบนิ้วไหว้วันทา ขอพึ่งพาไว้ทรงเดชฯ

กับทั้งผู้วิเศษ ผู้ทรงเดชพระศาสดา,
กับทั้งพระธรรมา พระสังฆาคือไตรสามฯ

ขอจงได้ติดตาม ทุก ๆ ยามวันเวลา,
อาจารย์ทุก ๆ องค์ จงให้พรอย่านาน เทอญ ฯ

กลอนลากลับบ้าน (แบบที่ ๒)

(นำ) ตั้งใจให้พร้อมกัน พวกดิฉันจะขอลา,
(รับ) เวลามาถึงแล้ว ขอลาแก้วสามประการฯ

อาจารย์ท่านทั้งหลาย น้อมถวายคุณพระพุทธ,
พระธรรมที่สอนไว้ ยกมือไหว้ขออำลาฯ

พระสงฆ์ผู้เมตตา ไหว้วันทาขอลาก่อน,
อาจารย์ผู้สั่งสอน ประนมกรสวัสดีฯ

จำใจในวันนี้ กิจข้ามีคณะนา,
ต่อท้ายด้วยวาจา เป็นภาษาพระบาลีฯ

อาจารย์ผู้เมตตา จงสุขีทุกท่านเทอญ,
พวกฉันขอเจริญ จงเพลิดเพลินทุกวันเทอญฯ

กลอนขอกราบลา (แบบที่ ๓)

(นำ) พวกดิฉันขอกราบลา ๆ น้อมวันทาขอกราบไหว้,
(รับ) ขอลาท่านผู้เจริญๆ จงเพลิดเพลินทุกเวลา,

ความทุกข์อย่าราวี ๆ ทั้งพี่เณรและพระสงฆ์,
โรคาและพยาธิ ๆ ความอุบาทว์อย่าได้มี,

ฉันนี้จะจากไป ๆ ด้วยอาลัยใจปราณี,
ขอลาท่านผู้ทรงศีล ๆ ลามลทินเครื่องเศร้าหมอง,

ถ้ามีงานอีกทีสอง ๆ จะปองดองกันเข้ามา,
ลาแล้วจากสถาน ๆ อันเบิกบานวิลัยตา,

นานแล้วขอลาก่อน ประทานพรพวกฉันเทอญฯ

สารบัญ บทกลอนสรภัญญ์, สรภัญญะ,สารภัญญ์

คำลากลับบ้าน

หันทะทานิ มะยัง ภันเต อาปุจฉามะ พะหุ กิจจา มะยัง พะหุกะระณียา ฯ
พระสงฆ์ผู้รับลากล่าวคำว่า ยัสสะทานิ ตุม๎เห กาลัง มัญญะถะ
ผู้ลาพึงรับพร้อมกันว่า สาธุ ภันเต แล้วกราบ ๓ ครั้ง

คำถวายข้าวพระพุทธ
อิมัง สูปะพ๎ยัญชะนะสัมปันนัง สาลีนัง โอทะนัง อุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิ

คำลาข้าวพระพุทธ
เสสัง มังคะลา ยาจามิ


สรภัญญะ ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่
สรภัญญะ ไหลเรือไฟ


บทจุลลไชยปกรณ์ ตำนานพระปริตร บทสวดปฏิจจสมุปบาท บทสวดสติปัฏฐาน๔ ประวัติพุทธสาวก
คำลากลับบ้าน บทปัพพโตปมคาถา บทเขมาเขมสรณทีปกคาถา คำสมาทนากรรมฐาน บทภารสุตตคาถา
บทปัจฉิมพุทโธวาท ติลักขณาทิคาถา บทสวดถวายพระพร โอวาทก่อนปรินิพพาน หลวงปู่คำพันธ์
ปฏิทินวันพระ มงคลปริตร คำปวารณาออกพรรษา คำอาราธนาธรรม เสียงพระพุทธประวัติ
ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ วันออกพรรษา คำไหว้พระเจ้า ๑๐ ชาติ พระสังคีณี คาถากำลังวัน
คาถาบารมี ๓๐ ทัศ พระเจ้าพิมพิสาร ประวัติพระธาตุพนม รัตนปริตร ศิลปะพระธาตุพนม
บทพิจารณาสังขาร ประวัติวัดป่ามหาชัย คำอาราธนาศีล ๘    
 กลับสู่หน้าหลัก