อารมณ์กรรมฐาน

พระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปํญโญ)
วัดธาตุมหาชัย ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม

เทศน์เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๐

นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พร้อมทั้งบรรพชิต และอุบาสก อุบาสิกาทุก ๆ คน นี่พวกเราได้ปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลา ๒ คืน
กับคืนนี้แล้ว ก็คิดว่าในด้านการปฏิบัติทางจิต ของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ก็คงจะมีอะไรเกิดขึ้นเป็นบางอย่าง
ในอารมณ์ของนักปฏิบัติเอง ในเรื่องการเกิดนี้ ก็ต้องเกิดแน่ ๆ และที่นี้อยากให้เข้าใจว่า รูปร่างกายของเรา ที่เราใช้กัน
โดยสมมุติว่าเรา ว่าเขานี้ ประกอบด้วยอะไร มีอะไรแฝงอยู่ในรูปนามนี้ ถ้าพูดตามหลักของธรรมะท่านว่า รูปัง อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา นามรูปัง คือ “อนิจจัง” ความไม่เที่ยง “ทุกขัง” ความเป็นทุกข์ของสังขารทั้งหลาย “อนัตตา” ความเป็นของไม่ใช่ตน
ทั้งสามอย่างนี้คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ” มีอยู่ในนามรูปตัวของเราเอง ก็มีรูป มีนาม เพราะเหตุนั้น “อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา” ท่านจึงเรียกว่า

“พระไตรลักษณ์” ไตรลักษณ์นี้ ก็อยู่กับตัวเรา ก็คงเกิดปรากฏขึ้นแก่เราอยู่ตลอดเวลา เราจะหนีจากไตรลักษณ์นี้ไม่ได้
เพราะสิ่งทั้ง ๓ อย่างนี้คุมอยู่คุมตัวเรานี้

อนิจจัง ความไม่เที่ยง เกิดขึ้นมาตั้งแต่เล็กจนโต แปรสภาพเดิมมาเรื่อย ๆ แปรมา ๆ แรก ๆ ก็เป็นเด็กอ่อน ๆ นอนอยู่ในเบาะ
จากนั้น ก็กลายเป็นความเปลี่ยน ความเปลี่ยนอันนี้ เรียกว่า “ชรา” คือชรา
มาปิดตาของเราไว้ เราไม่เรียกว่า “แก่” เราเรียกว่ามันกำลังใหญ่ขึ้นมา โตขึ้นมา เป็นหนุ่ม เป็นสาว โตขึ้นมาเรื่อย ๆ
เราเข้าใจกันอย่างนี้ แต่ความจริงแล้วมันแก่ขึ้นไปเรื่อย ๆ แก่ขึ้นไปจนตลอด แก้มก็ตอบ ฟันก็หัก เราถึงรู้ว่าเออ !
คนนั้นแก่ คนนี้แก่ แก้มตอบ ฟันหัก เนื้อหนังสะพรั่งพร้อม กำลังวังชาก็โรยแรงลงไปไม่เป็นปกติ เราจึงเข้าใจว่าแก่

แต่ความจริงมันแก่มาแต่กำเนิดแล้ว ตั้งแต่ตั้งอยู่ในท้อง ได้เดือน ๑ แก่ขึ้นมาอีกได้ ๒ เดือน
เด็กอยู่ในท้องแก่ขึ้นมาอีกได้ ๓ เดือน และโยมทั้งหลายยามพบกันกับเพื่อน ๆ เคยถามว่า เพื่อนท้องของเธอได้กี่เดือนแล้ว
ได้ ๒ เดือนแล้ว และเพื่อนล่ะ ฉันได้ ๓ เดือนแล้ว งั้นฉันก็แก่กว่าเพื่อน ๑ เดือน นี้พูดกันอยู่ว่าแก่ เมื่อออกมาแล้ว
ก็ไม่ได้พูดว่า แก่แล้ว ที่นี้บอกว่ากำลังโตขึ้น เปลี่ยนเรื่อย ๆ ชรา แปลว่า “แก่ ลาก” ลากเราไปให้เราแก่ไป เรื่อย ๆ
ไม่ให้หนุ่ม ไปข้างหน้า ให้แก่ไปข้างหน้าตลอดอันนี้แหละ เราเรียกว่า “ไตรลักษณ์” อันหนึ่ง

ข้อที่สอง เมื่อแก่ไปแล้ว อันความไม่สบายต่าง ๆ นานาก็ตามมา ในระยะความแก่ ในระยะความเป็นอยู่ของชีวิตแต่ละวัน ๆ
นั้นมีความไม่สบาย มีความทุกข์ร้อนในร่างกาย มีความเจ็บปวดต่าง ๆ เด็กมักร้องไห้
หรือผู้ใหญ่ก็แสดงอาการทุรนทุรายไม่สบาย ตลอดถึงการปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ก็ไม่สบายทั้งนั้น อันความไม่สบายความทนได้ยาก
อันนี้ เรียกว่า ทุกขัง

ทุกขัง คือ ความเป็นทุกข์ของสังขารร่างกาย ทำไมจึงเป็นทุกข์ ทำไมมันจึงแก่ไปเรื่อย ๆ ไม่คงที่ สาเหตุที่เป็นอย่างนี้
ก็เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของธรรมชาติต่างหากล่ะ ที่ปรุงขึ้นมาด้วยธาตุ ทั้ง ๔ ประชุมกันขึ้น
โดยสภาวะธรรมชาติเอง ประชุมกันขึ้นมา จึงเป็นรูป เป็นนาม เรียกว่า “รูปธรรม นามธรรม” เมื่อเป็นรูปธรรม
นามธรรมขึ้นมาแล้ว เราไปสมมุติเอาว่าเป็นของเรา แต่ความจริง สิ่งเหล่านี้ นับเป็น “อนัตตา” มันใช่เรา
มันก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสภาวธรรมเหล่านั้น เราจะยึดถืออย่างไรก็ไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจของเราเลย ฝืนอำนาจ
ฝืนความปรารถนา ฝืนความตั้งใจ สูญเปล่าจากความตั้งใจ ทุกอย่างในร่างกายนี้

เพระเหตุนั้น “ ท่านจึงให้พิจารณา รูปธรรม นามธรรม ที่เราใช้นี้ ว่ามันตกอยู่ในอำนาจของพระไตรลักษณ์
ให้พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาเรื่อยๆ เพื่อเราจะได้ไม่หลง”
ในขณะนี้โยมทั้งหลาย ก็คงจะพอเข้าใจมันแล้วว่า
เรานี้มีพระไตรลักษณ์ควบคุมอยู่ทุกคน

เมื่อเห็นรูปปรากฏขึ้น ในตาจะเป็นรูปดีก็ตาม รูปไม่ดีก็ตาม ในตรงนี้มันจะชวนให้เราเกิดกิเลส ให้จิตใจเกิดกิเลสขึ้น และ
“ถ้าเราสังวรระวังได้ เราจะมีสติสัมปชัญญะควบคุมอยู่ กิเลสก็เกิดไม่ได้ เมื่อตามองเห็นรูป ทั้งรูปดี
รูปไม่ดีก็พิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นของไม่เที่ยง ไม่อยู่นานเท่าไรหรอก
มันก็เปลี่ยนสภาพเดิมไปเรื่อย ๆ คือ มันเป็น อนิจจัง มันเป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ไม่ยั่งยืนถาวร ไม่ใช่ของเรา
ไม่ใช่ของเขา สักว่าแต่รูปเฉยๆ ไม่ได้มองถึงความรัก ไม่ได้มองถึงความเกลียด เมื่อมองความรัก
ความเกลียดไม่ได้ คือตัวปัญญา พร้อมแล้วปกป้องไว้แล้ว อันนี้เป็นแนวทางที่ดี
ไม่ให้เราลุ่มหลงในรูปที่เรามองเห็น”

ถ้าเราได้ยินเสียงทางหู ความรู้ทางหูก็เกิดขึ้น เรียกว่า โสตวิญญาณ คือวิญญาณขันธ์ มักเกิดขึ้นทางหู
ความรู้ทางหูเกิดขึ้น อันนี้ก็ให้กำหนดเพียงว่า “เสียง” จะเป็นเสียงดี หรือชั่วไม่ต้องคำนึง เสียงเป็นของไม่เที่ยง
เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา เป็นของไม่จริง ถ้าพิจารณา ได้อย่างนี้แล้ว เรียกว่า คนที่พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ
มีจิตที่อยู่ในหลักกรรมฐาน คือ ตัววิปัสสนากรรมฐาน

ส่วนกิเลสที่จะเกิด “ทางหู” คือ ความรักในเสียง ความเพลิดเพลินในเสียง ความใคร่ในเสียง ก็เกิดไม่ได้
หรือกิเลสที่จะให้เกิดความโกรธ ความชัง ในเสียงที่เราได้ยิน จะเป็นเสียงคน เสียงสัตว์
และเสียงอะไร ก็ตาม ไม่ให้มันเข้ามาถึงใจ เพียงแต่ได้ยินในหู เพียงแต่มิให้เกิดขึ้น วิญญาณรับรู้เท่านั้นเอง
แต่ว่าเราไม่ได้หลง ไม่ได้รักไม่ได้ชังในเสียงนั้น ก็เรียกว่ากิเลสทั้งหลาย เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว เมื่อกิเลสเกิดไม่ได้
เรียกว่า เราพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ อันนี้ เป็นแนวทางปฏิบัติที่กำจัดกิเลสได้ หมายความว่า
บังคับกิเลสไม่ให้เกิดขึ้น

ถ้าได้กลิ่น “ทางจมูก” กลิ่นหอมก็ตาม กลิ่นเหม็นก็ตาม กลิ่นหอมไม่ยินดี กลิ่นเหม็นก็ไม่ยินร้าย ก็ยกขึ้นสู่
พระไตรลักษณ์ ว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหม็นหอมมันอยู่ในตัวเราเอง มันอยู่ใน รูปนามนี้ ไม่ได้อยู่ที่ไหน
พิจารณาอย่างนี้ได้ ก็แสดงว่าเราพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ มีธรรมอันเป็นตัวนักปราชญ์ ปกปิดกิเลสทั้งหลาย
ไม่ให้เกิดขึ้น

ถ้าหากว่าเราได้รส “ทางลิ้น” จำเป็นต้องได้แน่ ลิ้นสำหรับรู้รส แต่ว่าไม่ยินดีในรสที่เอร็ดอร่อย รสหวาน
รสที่เราต้องการ และไม่ยินร้ายในรสที่เราไม่ต้องการ ก็พิจารณาว่า มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งนั้น
สิ่งที่เราไม่ต้องการคือ เย็นมาก แข็งมาก ร้อนมาก นี่ไม่ต้องการแล้ว

สำหรับสัมผัส “ทางกาย” ที่มันเกิดขึ้น สิ่งที่เราต้องการ
ก็คือ อ่อนนิ่ม และพอดี เย็นพอดี ร้อนพอดี นี่เราต้องการ แต่สิ่ง
ที่ต้องการทั้ง ๒ อย่างนี้ เราก็วางจิตให้เป็นกลางเสมอ ว่า ไม่ยินดี
ไม่ยินร้าย ในสิ่งที่ดี และสิ่งที่ร้าย ให้ถือว่ามันไม่เที่ยงตลอด ๆไป
มันมี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แฝงอยู่ พิจารณาเห็น ในสิ่งที่เรารับสัมผัส อันนี้เรียกว่า ตัวสติสัมปชัญญะ คือ
ตัวปัญญามันเกิดขึ้น ตัวโมหะ
ตัวหลง ก็หลงไม่ได้ ตัวโทสะจะเกิด ก็เกิดไม่ได้ ตัวโลภะ หรือราคะจะเกิด ก็เกิดไม่ได้

และทีนี้ “ใจ” นึกคิดต่าง ๆ นึกดี นึกชั่ว ในอารมณ์นั้น ก็ไม่ได้ยินดี และไม่ยินร้าย ในความนึกคิดนั้น ๆ นึกดี
ก็ไม่ยินดี นึกชั่ว ก็ไม่ยินร้าย วางจิตให้เป็นกลาง ว่ามันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา
ไม่ใช่ของเขา เป็นเรื่องของพระไตรลักษณ์ต่างหาก เรียกว่า เรามีสติสัมปชัญญะพร้อม เมื่อพร้อมแล้วอย่างนี้ ก็เรียกว่า
“มรรคสัจจะ” เป็นตัวมรรค มรรคสัจจะ ในอริยสัจ ๔ มรรคสัจจะมันเกิดขึ้นแล้ว เมื่อมรรคสัจจะเกิดขึ้นแล้ว มันเกิดตลอดไป
บังคับได้ตลอดไป แล้วตัวนิโรธมันก็จะเกิดขึ้นมาอีก พริบตาเดียวเกิดขึ้นแล้ว

อันนี้เป็นหลักของธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าชี้ว่า เป็นแนวทางตรัสรู้
ของพระพุทธเจ้า และของพระอริยะสาวกทั้งหลาย ถ้าหากเราปล่อยให้เกิดกิเลสขึ้นเรื่อยๆ
เราจะพยายามหักห้ามเท่าไหร่มันก็ไม่อยู่ อันนี้มันเป็นการยาก ยากที่เราจะเดินทางนี้ !
ถ้าหากว่าพวกเราปฏิบัติอย่างที่หลวงพ่อพูดแล้วนั้นนะ เราจะปฏิบัติได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ

ทีนี้ หลวงพ่อจะถามโยมทั้งหลายดู คือ เรามีรูป มีเวทนา
มีสัญญา มีสังขาร และมีวิญญาณ เรียกว่า “เบญจขันธ์ ขันธ์ ๕ อย่าง”
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เบญจขันธ์ ทั้ง ๕ นี้ มันยังไม่ได้เกิด แต่มันเกิดเพียงรูปขันธ์
ในขณะนี้รูปขันธ์มันเกิดก่อนเวทนาขันธ์ จะเกิดนั้น เช่น เรานั่งสมาธิ นั่งกำหนดไป กำหนดไป มันเกิดปวดแข้งปวดขา
จิตใจก็กังวลอยู่ อันนี้ให้เข้าใจว่า เวทนาขันธ์มันเกิดขึ้น
เวทนาขันธ์เกิดความไม่สบายนี้เรียกว่า “ทุกขเวทนา” ถ้ามันเกิดขึ้น
อย่างน้อยให้กำหนดรู้ว่า “เออ ! ทุกขเวทนา” ให้กำหนดว่า ทุกขเวทนา

เมื่อกำหนดแล้ว ให้ถอนจิตจากสิ่งที่เรากำหนดนั้น ให้ทำจิต
ให้ว่าง ว่างจากเวทนาตัวนั้น อันนี้เป็นไหม โยม เคยเกิดไหม นั่งไป
ปวดไหม ปวดแข้ง ปวดขาไหม (แม่ชี......ปวดค่ะ)

นั่นแหละเวทนาขันธ์เกิด ถ้าเวทนาตัวนี้เกิดขึ้นมาแล้ว ถ้ามันเกิดปวดขึ้นมา ให้กำหนดว่า “ทุกขเวทนา ๆ”
เพราะมันเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง มันต้องเกิดอย่างนี้ จะห้ามไม่ให้มันเกิดไม่ได้ มันต้องเกิด
เมื่อมันเกิดมันก็ต้องดับได้ ด้วยการพิจารณาเห็นว่า “ทุกขเวทนา ๆ” แล้วก็ถอนจิตออก วางเสียอย่าไปกำหนด
อย่าไปยึดถือมั่น เมื่อไม่ยึดถือแล้ว ก็เรียกว่า “ดับได้” ดับเวทนาได้

เมื่อดับได้ สัญญาขันธ์ มันไม่เกิด ถ้าดับไม่ได้ สัญญาขันธ์ มันก็จะเกิดมา มันจะจำในความทุกขเวทนา จำอยู่เรื่อย ๆ
ไม่ลืม นึกคราวใดก็พบมันอยู่ มันปวด จำได้อยู่ว่าปวดแข้ง ปวดขา นี่สัญญาขันธ์มันเกิดแล้ว
สัญญาขันธ์เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นทั้ง ๒ ขันธ์แล้วนะ เมื่อเกิด ๒ ขันธ์มาแล้ว มันแก้ลำบาก มันจำไม่ลืม
ถ้ามันจำไม่ลืม มันจะให้ทุกข์ตลอดไป เมื่อทุกข์ตลอดไปแล้วมันจะเกิดความหงุดหงิด คือ ไม่พอใจในทุกข์นี้
กิเลสตัวนี้ขึ้น มาแล้ว ให้ระวัง เมื่อสัญญาขันธ์เกิดแล้ว ความนึกคิดต่าง ๆ ในเรื่องที่เราจำนี่ สังขารมันเกิดขึ้นมา
อีกแล้ว เรียกว่า “สังขารขันธ์”

เมื่อมันเกิด ๓ - ๔ ขันธ์แล้ว เราก็ดับยาก เพราะเหตุนั้น ให้เราระวังเบื้องต้น เมื่อเรานั่งสมาธิไป มันเกิดไม่สบายขึ้น
ให้กำหนดว่า “เวทนาขันธ์ ทุกขเวทนาขันโธ ” ให้พิจารณาอยู่อย่างนี้ ทำไมมันจึงเป็นทุกข์ ก็เพราะว่า
ธรรมชาติมันจะต้องเป็นไปอย่างนี้ แต่ขอให้เรารู้ทุกข์เท่านั้น ให้รู้ทุกข์แล้ว ก็ถอนจิตออกจากทุกข์ อย่าไปจับ
อย่าไปถือมัน ถ้าเราไปจับ ไปถืออยู่ มันยิ่งทุกข์มาก ถ้าเราไม่จับไม่ถือมัน ก็ไม่ทุกข์ ตัวอย่างเช่น เวลาที่โยม
ดูมหรสพต่าง ๆ ดูหนังที่โยมต้องการ นั่นแหละ ไปดูหนังนี้ แหม ! มันเพลิดเพลินในเรื่อง ของหนังเรื่องต่าง ๆ
ถึงจะเจ็บปวดร่างกายเท่าไร ก็ไม่ถือมัน เราถือประมาณในการดูหนัง นั่นแหละ อดหลับ อดนอนก็ทนได้ ไม่ได้ถือว่าง่วงนอน
ไม่เอาล่ะ แต่เอาดูหนังนั่นแหละ จนสว่างจนตลอด โยมก็ทนได้ เพราะไม่ได้ถือว่าง่วงนอนไม่เอาล่ะ
แต่เอาดูหนังนั่นแหละจนสว่าง จนตลอด โยมก็ทนได้ เพราะไม่ได้ถือ ในสิ่งที่มันปวดมันหนัก ถ้ามาถืออย่างนี้ ในการปวด
การหนักแล้ว โยมจะดูหนังไม่จบเรื่อง อันนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไปยึดถือมันอยู่ เราไม่ปล่อยไม่วาง
เราก็ต้องเป็นทุกข์ตลอด ในการทำสมาธิก็ลำบาก

ทีนี้เวลานั่งทำสมาธิ เวลาหลับตา พอจิตของโยมกำหนดไป หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” อยู่อย่างนี้จนจิตสงบไป
“สงบ” คือ ไม่รับรู้อารมณ์ทางนอกแล้ว เสียงไม่รับรู้ ทางกายไม่รับสัมผัส ไม่มีเจ็บมีปวดอะไร ปรากฏทางตาไหม
หรือว่าไม่เห็นอะไรเลย (..เห็นรูปครับ..) ถ้าเห็นรูปแล้ว โดยกำหนดอย่างไร (พุทโธ เหมือนเดิม) เออ พุทโธ แปลว่า ผู้รู้
ผู้เห็น แล้วทีนี้ ถ้าเห็นอย่างนั้น ให้โยมวาง พุทโธเสีย พอเห็นรูปเกิดขึ้นมา จะเป็นรูปอะไรก็ตาม รูปคนหรือสัตว์
ไม่ต้องกำหนดหรอก ว่าคน หรือสัตว์ คนหรือสัตว์นั้น เป็นสมมุติเป็นบัญญัติ ไม่ใช่สภาวธรรม เราสมมุติกัน พูดกันเอง
ถ้าเห็นรูปขึ้นมานี้ รูปอย่างเดียวกัน เป็นสภาวธรรม เพราะมัน มีรูป มีนาม

ถ้าเห็นแล้ว ต้องกำหนดว่า “รูป” นึกในใจ “รูป” พอเห็น
รูปอย่างนี้ รูปมันจะดับไปทันที คือถ้าเราจี้ถูกตัว คล้าย ๆ กับเรายิงนกถูก ลูกศรเราคม นกก็ตกลงมาเลย อันนี้
ถ้าเรานึกว่ารูป มันถูกของตัวมัน รูปนั้นจะหายไป พอหายไปแล้ว โยมต้อง อุทิศส่วนกุศลให้เลยอันนี้ถ้าเป็นรูปเปรต
เป็นรูปอะไรต่าง ๆ พวกที่คอยรับส่วนกุศลจากเรา เขาจะพ้นทันที พ้นจากความเป็นเปรตทันที ถ้าเป็นรูปพี่รูปน้อง รูปพ่อ
รูปแม่ที่ตายไป เราเห็นอย่างนี้ กำหนดว่ารูป ไม่ต้องว่าพ่อ ไม่ต้องว่าแม่ อันนั้น มันเป็นสมมุติพูดกันเอง
ต้องบอกว่ารูปเฉยๆ พอรูปดับวูบไป อุทิศกุศลให้เลย พ่อแม่ของเราจะพ้น พ้นจากความเป็นเปรต
ด้วยอำนาจจิตที่แหลมคมของเรานี้ อุทิศส่วนกุศลให้ หายไปเลย พ้นจากอัตภาพนั้น ไปเกิดดีแล้ว เคยได้เห็นอะไรไหม?

ถ้าโยมเห็นอะไรอย่างนี้ ต้องแก้อย่างหลวงพ่อว่านะ เห็นรูปก็ต้องว่ารูป เห็นทางตาต้องว่ารูป สิ่งใดที่ปรากฏในตาขึ้นมา
กำหนดว่ารูปทั้งนั้น อย่าให้มันเข้าถึงใจ ถ้ามันเข้าถึงใจแล้ว เห็นรูปโยมจะกลัวนะ บางทีมันแสดงอาการต่าง ๆ
เป็นรูปคนตาย รูปซากศพ เป็นต้น อาจจะเข้าใจผิดว่าผีหลอก อย่างที่เราชอบพูดกันนะ ถ้าเห็นอย่างนั้นเราจะกลัว
ถ้าเรากำหนดไม่ทัน แต่ถ้าเรากำหนดทัน ให้กำหนดว่ารูป อย่างนี้แหละเราจะกลัว ถ้าเรากำหนดไม่ทัน แต่ถ้าเรากำหนดทัน
ให้กำหนดว่ารูป อย่างนี้แหละมันจะหยุดทันที จะเข้ามาใกล้เราไม่ได้ ความกลัวของเรา
ก็จะไม่มี มันหายไปเลย

ถ้าได้ยินทางหู อันนี้เราเรียกว่า เรานั่งสมาธิได้ยิน เราเรียกว่าเสียงทิพย์ เป็นเสียงละเอียด เสียงทิพย์ ได้ยินมาทางหู
เช่นเสียงร้องไห้ก็ดี เสียงคนพูดกันก็ดี เสียงอะไรก็ดี ให้โยมกำหนดว่า “เสียง”
เสียง อย่างนี้ เสียงก็จะหายไป ถ้าเราได้รับกลิ่นทางจมูกก็ให้กำหนดว่า “กลิ่น” ถ้าเกิดรสอะไรขึ้นทางลิ้นของเรา คล้าย ๆ
มันมีรสเปรี้ยว รสจืดรสจางขึ้นมา ก็ให้กำหนด “โผฏฐัพพะ” สิ่งเหล่านี้ก็จางหายไปทันที
ให้จับให้มันถูก แก้ให้มันถูก ถ้าแก้ไม่ถูกมันก็จะไม่หาย

อันนี้หลักการปฏิบัติกรรมฐานต้องอย่างนี้ มันต้องเกิดอยู่ในขันธ์ทั้ง ๕ นี้แหละ ไม่เกิดที่ไหนหรอก เกิดอยู่นี้
ดับอยู่นี้ จะห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ ต้องเกิดแน่ ถ้าเกิด แล้วต้องดับ แต่ให้ดับในการกำหนดของเรา ถ้ามันดับไปเฉย ๆ
เราก็ยังไม่มีจิตของเรายังไม่มี ให้เราดับด้วยสติ สัมปชัญญะ เรารู้เท่าทันมัน ให้มันดับไปในขณะนั้น ดับได้อย่างนี้
แล้วนะ ตัวทุกข์มันจะไม่เกิด ตัวความทุกข์จะไม่เกิด ความกลัวจะ ไม่เกิด การดับในขณะนี้ ได้นะจะเป็นมรรค

ถ้าจัดเข้าในอริยสัจ ๔ จัดเป็นมรรค เราดับได้สนิท มันสบายใจ สงบลงไป อันนี้มันเป็นตัว
สัจนิโรธ มันเกิดขึ้นมาในขณะนี้เอง ถ้าหากว่าปฏิบัติไป อะไรเกิดก็ให้มันเกิด มันได้ยิน ได้เห็น ก็พุทโธ ๆ อยู่เรื่อย ๆ
รูปอันนั้นมันก็จะหายไป ได้ยินในหู ก็ พุทโธ อยู่เรื่อย เสียงก็หายไป พุทโธนี้ สำหรับแสดงไว้ว่าเป็นผู้รู้ตลอดกาล
ให้เป็นผู้รู้ตลอดการ เมื่อเห็นแล้วก็เหมือนกับไม่เห็น คือเราตอบไม่ถูก รู้อะไร รู้รูป ก็ต้องตอบว่ารูปอะไร รู้เสียง
เมื่อได้ยินเสียง ก็ตอบว่าเสียง

แต่ความจริง สามเณรนี้กินข้าวจากโยมนะ ถ้าโยมเห็นไม่สวย
ในตา อาหารที่โยมจะให้ เราจะลำบาก โยมไม่มีศรัทธา ถ้าเห็นว่าเราสวยงาม เป็นปกติ น่ารัก น่าเคารพนับถืออย่างนี้นะ
ศรัทธาของโยมจะเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่มีก็อยากหาให้ นี่เรามีเวลาชั่วขณะนิดเดียว แค่ ๓ วัน ต้องทำให้ใจสงบ ให้สวยให้งาม
สามเณรก็เป็นเหล่ากอของสมณะ “สมณะ” ก็คือ “ผู้สงบ” สงบกาย นั่งเป็นปกติ ไม่กระดุกกระดิก ไม่เหลียวหน้าแลหลัง

ขณะฟังเทศน์ นั่งเป็นปกติ เฉย ๆ อดทน เป็นผู้มีสติเสมอ คนที่จับโน่นจับนี่ตายแล้วเกิดเป็นลิง
ถ้าตายในขณะที่เราทำไปเกิดเป็นลิง ถ้าเราขีดดิน ขีดกระดานไม้ขณะฟังเทศน์
ตายไปจะเกิดเป็นไส้เดือนมันผิดในการฟังธรรมฟังเทศน์ ถ้าเรากระดุกกระดิก นี้มันไม่ดี เป็นบาปแก่ตัวเอง
ไม่ได้บุญแล้วแถมกลับได้บาปด้วย ให้สามเณรเข้าใจ

ที่หลวงพ่อพูดมาวันนี้ โยมก็คงพอเข้าใจแล้วนะ ถ้าเห็นอะไรเกิดขึ้นมา ให้กำหนดสิ่งนั้น ถ้าหากว่าเราไม่ได้นั่งสมาธิ
เราอยู่เฉยๆอย่างนี้ มันก็เกิดขึ้นอยู่ ถ้าเรามองเห็นรูปกัน อย่าไปมองถึงสวย
มองถึงกิเลส พอมองเห็นรูปปั๊บ ก็ให้กำหนดว่า “รูป” ได้เหมือนกัน เรียกว่าได้ยินเสียง ก็กำหนดเสียง
ไม่เพียงแต่นั่งสมาธิหรอก มันเป็นกรรมฐานอยู่ ในขณะที่เรากำลังพิจารณา เราฟัง เรากำหนดทัน ไม่ได้ว่าแต่เสียงทิพย์
เสียงหยาบ ๆ เสียงคนเราพูดกันนี้ เราก็กำหนดว่าเสียงแล้วก็ถอนจิตออก อย่าไปติดอยู่ในเสียง ถ้ามองเห็นรูป รูปของใคร
ไม่ต้องกำหนด เห็นรูปแล้ว ก็กำหนดว่า “รูป” เท่านั้นแหละ เป็นอนิจจังด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปคน รูปสัตว์ สวย
ไม่สวย ต้องเป็นอย่างนี้ต้องเปลี่ยนไปอย่างนี้ และก็กำหนดอย่างนี้

ในขณะที่เราปฏิบัติ เราเคยทำแล้ว เราเคยกำหนดแล้ว อันตัวราคะ ตัวความรักมาก ๆ มันจะเกิดขึ้นยาก ถ้ามันเกิดขึ้น
ก็เกิดเพราะอำนาจ ความสงสาร ความรักโดยความสงสารความเปลี่ยนแปลงของสังขาร เป็นไปด้วยกันหมดทุก ๆ คน
ไม่อยากเป็น มันก็ต้องเป็น เพราะมันเป็นอยู่อย่างนี้เสมอ เป็นสามัญลักษณะ ลักษณะเสมอกันทั้งคนและสัตว์ ต้นไม้
ภูเขาเลากา เป็นไป อย่างนี้ทุกอย่าง เราเกิดมีความเมตตาสงสารกัน อันนี้เป็นคุณธรรมเกิดขึ้นในใจ ไม่ใช่กิเลส เกิดขึ้น

ถ้าเราเกิดความรักความชอบ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส อันนี้มันเป็นกิเลส กิเลสดีเกิด กิเลสไม่ดีเกิด กิเลสดีเรานิยม
ตามภาษาเขาว่าเราชอบ อันนั้น กิเลสดี แต่ก็ให้ทุกข์เหมือนกัน กิเลสไม่ดีเราก็เกลียด ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ความรักมาก
ๆ เมื่อจากรักไม่สมหวัง ก็เป็นทุกข์ ล้วนแล้วแต่เป็นตัวทุกข์ทั้งหมด เราเกิดขึ้นมา มันมีความทุกข์ประจำอยู่ตน
ตนมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ให้โยมทั้งหลายจงเข้าใจการปฏิบัติธรรม ต่อไปให้กำหนดเรื่อย ๆ ท่านสอนให้มีสติ
สัมปชัญญะ ให้รู้สติ ให้กำหนดว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สัมปชัญญะรู้ตลอดกาลไปเรื่อย ๆ ไม่เสียที
เรียกว่าคนไม่ประมาท ความไม่ประมาทประจำอยู่ในตัว ทำอะไรก็ไม่ผิด ถ้าคนประมาท ไม่มีสติ สัมปชัญญะ
ทำอะไรมันก็ผิดพลาด นี่โยมทั้งหลายให้เข้าใจไว้

ที่สุดนี้ ก็ได้เวลาที่โยมทั้งหลายจะทำกิจอย่างอื่นแล้ว สามเณรน้อยทั้งหลาย ก็จะได้ออกบิณฑบาตหรือฉันภัตตาหาร
วันนี้ก็จะมีข้าวต้ม ก็ขอให้ไปฉันเสีย ให้นั่งเป็นปกติตามสบาย ๆ เพื่อแก้ขัด
ความหงุดหงิดของสามเณรเอง และขอยุติไว้แต่เพียงนี้.....


ประวัติ พระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ)
วัดธาตุมหาชัย ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม
๑.ชาติกำเนิด ๔.กำเนิดวัดป่ามหาชัย ๗.สัจจะแห่งชีวิต ๑๐.นิมิตประหลาด ๑๓.ผจญภัย
๒.สร้างธาตุมหาชัย ๕.การเผยแผ่ ๘.ความพลัดพราก ๑๑.หลงในรู้ ๑๔.กำหนดรู้
๓.พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ๖.ปริศนาธรรม ๙.ธรรมโอสถ ๑๒.ชื่อมหาชัย ๑๕.พระบรมครู

ธรรมะคำสอน หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
อารมณ์กรรมฐาน ทางเดินของจิต การแสวงหาตน นักปราชญ์ของจิต ทาง ๗ สาย ธรรมะของหลวงปู่(๒)
กายสังขาร-จิตสังขาร เบญจขันธ์เป็นของหนัก เหตุให้ถึงธรรม อนัตตาเบญจขันธ์ เกร็ดธรรมะ
กลับสู่หน้าหลัก